web analytics
เลือกโรงเรียนอนุบาล,โรงเรียนอนุบาล,หาโรงเรียนอนุบาล,หาโรงเรียนให้ลูก,แนะนำโรงเรียน,อนุบาล,ชั้นอนุบาล,โรงเรียนบูรณาการ,ย้ายโรงเรียน,การเลือกโรงเรียน,เรื่องเรียนของลูก, หาโรงเรียน,เลือกโรงเรียน,ประเภทโรงเรียน,หลักสูตรการเรียน,เด็กอนุบาล,หม่าม๊าบ้าพลัง,2madames
ติดตามพวกเราบน Facebook

เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก

ความเดิมตอนที่แล้ว เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูก ตอน 1  : อนุบาลไหนดี? จากประสบการณ์ตรง หม่าม๊าบ้าพลัง

เรื่องราวที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘’ การเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูก ’’  ซึ่งข้อมูลต่างๆก็ปรากฏหรือสามารถค้นหาจากใน Google ได้อยู่แล้ว แต่….สิ่งที่หม่าม๊าจะเขียนต่อจากนี้นั้นเป็นประสบการณ์ตรงในการเลือกโรงเรียนให้ลูก เป็นการให้รายละเอียดในเชิงลึก ว่าเราต้องพิจารณาอะไรบ้าง ดูอะไรบ้างเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกโรงเรียน เช่น บุคลากรครู  สุขอนามัยในโรงเรียน ที่สำคัญค่าเทอม  เป็นต้นค่ะ บางทีคิดๆ เลือกๆ จนเครียด เพราะ ความควาดหวัง กับสิ่งที่ได้รับมันไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน   ในภาคแรกหม่าม๊าได้เขียนเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้นระหว่างการเยี่ยมชมโรงเรียน  สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเลือกโรงเรียนให้ลูกแล้ว  ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกโดยตรงจากโรงเรียนอนุบาลที่ได้เลือก ให้กับลูก จึงอยากนำประสบการณ์เหล่านั้นมาแตก เป็นข้อมูลในเชิงลึกว่าเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรักอย่างไร ที่จะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดอีกครั้งในภายหลัง พยายามเขียนและเจาะลึกให้มากที่สุดเท่าที่พอจะพึงทำได้   

1-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-หาโรงเรียนอนุบาล
หลักเกณฑ์ และ ปัจจัยต่างๆ ที่ควรพิจารณาสำหรับการเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก

1.งบประมาณ ให้เหมาะสมกับค่าเทอมและค่าใช้จ่าย(จิปาถะอื่นๆ)ในโรงเรียน            

ข้อนี้สำคัญที่สุดและมาเป็นอันดับแรก  ก่อนอื่นเราต้องสำรวจค่าเทอมของโรงเรียนที่มุ่งหวัง จากในเว็บไซต์ของโรงเรียนเองบ้าง จากgoogle บ้าง หรือสามารถโทรสอบถามทางโรงเรียนโดยตรง (หากเกินงบประมาณเราก็ตัดออกได้โดยง่าย ไม่ต้องเสียเวลาไปตระเวนดู) นอกจากค่าเทอมแล้วยังมีค่ากิจกรรมอื่น ๆ อีกเช่น งานกีฬาสี งานทัศนศึกษา กิจกรรมประจำปีของโรงเรียน(งานสังสรรค์ต่าง /โต๊ะจีนเป็นต้น)  ค่าชุดการแสดง ค่าอาหารเช้า ค่าเรียนพิเศษ ค่าบริการดูแลบุตรหลานในช่วงเวลาพิเศษหลังเลิกเรียน โรงเรียนบางแห่งมีค่าแรกเข้า  หรือโรงเรียนบางแห่งเรียกค่าแรกเข้านั้นเป็นค่าชุดนักเรียน ชุดพละ ถุงนอน เบาะนอนต่างๆ ก็ได้ค่ะ  บางโรงเรียนสามารถผ่อนชำระค่าเทอมเป็นรายงวดได้ด้วยเฉลี่ย 2-4 งวด ขึ้นอยู่กับนโยบายของโรงเรียน จากนั้นเราหันมาสำรวจงบประมาณในกระเป๋าเราว่าพึงที่จะจ่ายค่าเทอมนั้นๆ(ตามนโยบายของโรงเรียน) เฉลี่ยแล้วเราต้องเก็บเดือนละเท่าไรเพื่อจะจ่ายค่าเทอมในงวดต่อๆไปกรณีผ่อนชำระ ค่าเทอมเป็นรายงวด เลือกที่จะไม่บีบรัดกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว จะได้นำงบประมาณส่วนที่เหลือพาลูกพักผ่อน ท่องเที่ยวตามอัธยาศัยหรือ เพื่อกิจกรรมพิเศษที่ลูกสนใจ

2-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-ค่าเทอมอนุบาล

2.ระยะทางใกล้-ไกล

โรงเรียนจะใกล้-ไกล ที่ทำงานหรือที่บ้านก็คำนวนดีๆ ลองขับรถไปในช่วงเวลาที่ต้องรับ-ส่งลูก ว่าใช้เวลาเดินทางเท่าไร บริเวณรอบๆโรงเรียนหรือบริเวณใกล้เคียงการจราจรหนาแน่นเพียงใด ใครจะเป็นผู้มีหน้าที่ อันสำคัญในการรับ-ส่งลูก หรือการเดินทางไปโรงเรียนแบบใดที่สามารถย่นระยะเวลาได้ (หม่าม๊าใช้การโดยสารรถประจำทางค่ะ สะดวก ง่าย และไม่ต้อง U-turn รถไกล) โรงเรียนที่ถูกใจ บางทีก็อยู่ไกล รถก็ติด ลูกก็เหนื่อยไม่น้อย คุณพ่อ-คุณแม่ ก็ต้องชั่งใจดีๆ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละบ้านนะคะ หรือใช้บริการรถตู้รับส่งของโรงเรียน บางท่านใช้วิธีเช้าส่งเองที่โรงเรียน เย็นให้รถตู้โรงเรียนมาส่งลูกที่ทำงาน-ที่บ้าน   รถตู้สามารถรับส่งลูกเรา ตอนเช้ากี่โมง(เช้าไปไหม) ถึงโรงเรียนกี่โมง เย็นออกจากโรงเรียนกี่โมง ถึงบ้านกี่โมง (รวมถึงคำนวณเวลาที่ลูกต้องใช้ชีวิตบนรถตู้ด้วยค่ะ ) บางบ้านรถตู้มารับคนแรก  และมาส่งเป็นคนสุดท้าย (เห้ออ สงสารลูกจัง) หม่าม๊าเลยรับส่งเองซะเลย ยังไงก็เป็นแม่บ้านอยู่แล้ว  แอบไปส่องโรงเรียนตอนเช้าๆที่รถตู้ไปถึงโรงเรียนส่งเด็กนักเรียนลงรถ เพื่อเข้าโรงเรียน ดูว่าเอ๊ะ….. เค้าตรวจสอบเด็กไหม ว่าลงรถหมดแล้ว มีครูกี่ท่านที่ช่วยสำรวจ  มีครูประจำรถตู้หรือเปล่า  สะกดรอยตามรถตู้บ้างก็ดี(ถ้าว่าง) ดูพฤติกรรมของคนขับรถตู้โรงเรียนนั้นๆ  รถตู้เมื่อส่งเด็กเสร็จแล้วจอดตรงไหน ยังไง  เปิดประตูระบายอากาศไว้หรือไม่เป็นต้น    ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าการเดินทางไปโรงเรียนของลูกจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่ข้อจำกัดของแต่ละครอบครัวมันต่างกันเราก็ต้องปรับให้ลงตัวที่สุด    หากประสงค์ให้บุตรหลานของท่านขึ้นรถตู้จริงๆ ก็ปริ้นแผนที่บ้านของตนเอง ไปให้โรงเรียนดูเพื่อจะได้ทราบค่าใช้จ่ายในการรับส่งว่าเดือนละเท่าไร หรือ รับ-ส่งอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวคิดเท่าไร (หากรับ/ส่งอย่างใดอย่างหนึ่ง เฉลี่ยแล้วรถตู้จะคิด 60 %  จากราคา เต็มของการับ+ส่ง เราจะได้ทราบคร่าวๆด้วยว่ารถจะมารับ-มาส่งกี่โมง)

รีแลคสักนิดอย่าเพิ่งเครียด ยังมีอีกเยอะ สูดหายใจเข้าลึกๆๆนะคะ หืดดดด หาดดดดด หืดดด หาดดดด

ต่อไปมาดูปัจจัยทางตรงในเชิงลึกกันดีกว่าค่ะอย่าเพิ่งเครียดนะคะ  นี่แค่เริ่มต้น

3-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-โรงเรียนใกล้บ้าน

3.ระบบรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน

เราไปดูโรงเรียนให้ลูกกันเถอะค่ะ  (บางโรงเรียนต้องโทรไปนัดหมายก่อน สุ่มสี่สุ้มห้าเข้าไปไม่ได้) แหม !! ก็เราอยากดูสถานการณ์จริงนี่นา ก้าวแรกที่เข้าโรงเรียนสังเกตดูว่า โรงเรียนดังกล่าวมี รปภ.ดูแล  ตำรวจ หรืออื่นๆหรือไม่ การเข้าไปในโรเรียนต้องติดต่อ – แลกบัตรอะไรบ้าง ประตูรั้วโรงเรียนมีการล็อคอย่างแน่นหนาต้องกดกริ่งเรียกจึงจะมีคนมาเปิดให้ หรือ เราสามารถเปิดประตูรั้วโรงเรียนเข้าไปได้เลย(เข้า-ออกสะดวกเลย)  ข้อนี้ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่า ระบบรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนสูงเพียงใด หรือเอื้อประโยชน์ต่อมิจฉาชีพผู้มิหวังดีอาจจะเข้ามาขโมยเด็กไปได้โดยง่าย  ส่วนมากแล้วทางโรงเรียนจะออกบัตรผู้มีหน้าที่ รับ-ส่ง นักเรียนค่ะโดย มีรูปผู้รับ-ส่งในบัตร (แต่พอนานๆ เข้าก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอกค่ะ บัตรรับส่งเนี่ยอ้ะ  จำหน้าได้แล้ว ว่าผู้ปกครองของเด็กคนไหน หากเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ รปภ.อาจจะไม่สามารถจำหน้า รถ ของผู้ปกครองเด็กทั้งโรงเรียนได้(หากเรามิได้สร้างจุดเด่น) โรงเรียนขนาดเล็กโดยส่วนมากบุคลากรในโรงเรียนจะจำหน้าผู้ปกครองหรือแม้กระทั่งเลขทะเบียนรถของผู้ปกครองได้   

บางโรงเรียนมีกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุมของโรงเรียนไม่ว่าจะในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน ฮ่าๆ  สบายใจคุณพ่อคุณแม่เลยล่ะ ยิ่งถ้าสามารถ รีโมทเข้ามาดูลูกตอนอยู่ในห้องได้ด้วยแล้ว  นี่ฟินอ่ะ หากรีโมทเข้าดูไม่ได้ สามารถติดต่อสอบถามขอดูกล้องที่โรงเรียนได้เลยค่ะ

4-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-ความปลอดภัยในโรงเรียน

4.สภาพแวดล้อมรอบๆโรงเรียน

สภาพแวดล้อมของโรงเรียนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเลือกโรงเรียน  โรงเรียนเป็นที่ลุ่มหรือเปล่าหากเป็นที่ลุ่มในช่วงฤดูฝน น้ำจะค่อนข้างขังตามสนามหญ้า รอบๆโรงเรียน ใกล้แม่น้ำลำคลองใดๆหรือไม่(หากมี ยุง คงจะชุมน่าดู) เด็กอนุบาลน้อยนักที่จะสามารถว่ายน้ำเองได้โดยปราศจากห่วงยาง หรือสามารถลอยตัวเพื่อรอคอยความช่วยเหลือ หากพลาดพลั้ง หลุดจากสายตาครูอาจจะตกลงไปได้ (หม่าม๊าก็ค่อนข้างซีเรียส นิดนึงค่ะ ) สนามเด็กเล่น ก็เป็นองค์ประกอบเล็กๆ แต่ก็ไม่มองข้าม เครื่องเล่นเหล็กมักจะเป็นสนิม บางชิ้นรอยต่อของเหล็กแยกออกจากกันซึ่งอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ในทุกๆเวลา เครื่องเล่นขาดการดูแลเอาใจใส่ และซ่อมแซม  หากเป็นเครื่องเล่นสนามแบบดีๆหน่อย ที่มาพร้อมกันเป็นเซ็ทมีการยึดกับพื้นอย่างแน่นหนา (ตามความรู้สึก คล้ายๆเล่นแล้วจะปลอดภัยกว่า  ของเล่นพลาสติกที่หากผลักแรงๆจะเคลื่อนที่ได้) บางชิ้นที่เป็นเชือกสำหรับปีนป่ายก็ด้วยความที่ตากแดด ตากลม ก็อาจจะมีเริ่มๆเปื่อยไปบ้าง ก็พิจารณาเป็นอย่างๆไปค่ะ หรือเครื่องเล่นที่เป็นพลาสติกแบบแข็งๆหนาๆ อันนี้น้ำหนักค่อนข้างเบา เวลาเล่นอาจจะมีเลื่อนได้บ้าง  โรงเรียนบางแห่งที่มิได้มีระดับอนุบาลแต่เพียงอย่างใด จะใช้วิธีแยกโซนของเล่น เช่นเครื่องเล่นสนามที่เป็นโครงเหล็กของพี่ประถม  เครื่องเล่นที่เป็นพลาสติกเป็นของน้องระดับอนุบาล เด็กๆจะได้เล่นเครืองเล่นสนามก็ต่อเมื่อคุณครูพามาเล่นโดยปกติแล้วจะมีครูอย่างน้อย  2 คนคอยควบคุมดูแลการเล่นต่างๆของเด็กค่ะ   หรือบางโรงเรียนจะเป็นห้องไว้สำหรับเล่นโดยเฉพาะ มีแผ่นโฟมกันกระแทก ของเล่นเป็นลักษณะโฟม+ยาง  ใช้วิธีการประกอบเข้าหากัน  (จัดว่าแข็งแรง หากมันไม่หลุดออกจากกัน เล่นแล้วไม่เจ็บมากนัก เมื่อตกจากเครื่องเล่น)            

บรรยากาศรอบๆ โรงเรียนมีความโปร่งสบายหรือเป็นอาคารทึบๆ ลมพัดผ่านได้ดีมากน้อยเพียงใด อากาศจะได้สดชื่น ไม่อุดอู้ นอกจากนี้โรงเรียนมีสนามหญ้าให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นกัน อยู่แบบธรรมชาติ หรือเป็นโรงเรียนที่มีแต่พื้นปูน เพียงอย่างเดียว ใช้วิธีเป็นสนามหญ้าเทียม (ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญซะทีเดียว แต่หลายๆท่านอาจจะต้องการสนามหญ้าให้ลูกวิ่งเล่นบ้าง)  ลานกิจกรรมของเด็กๆ มีหรือไม่หรือ กิจกรรมต่างๆต้องอยู่แต่เพียงในห้องเรียน เพียงอย่างเดียว หน้าหนาวออกมารับแสงแดดอ่อนๆยามเช้า มานั่งฟังนิทานจากครูบนสนามหญ้า เด็กๆคงสนุกกันน่าดู   บางโรงเรียนก็มี ทรายให้เด็กๆได้เล่นด้วยนะคะ   นอกจากนี้แล้วสำรวจความสะอาดโดยรอบๆโรงเรียนว่า มีการจัดการขยะอย่างไร ตามพื้นสกปรก เต็มไปด้วยขยะหรือไม่

5-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-สภาพแวดรล้อมรอบโรงเรียน

5.แนวการเรียนการสอน            

เรื่องแนวการเรียนการสอนและดูจะพูดอยากซะเหลือเกิน  คงต้องแตกประเด็น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  หม่าม๊าค้นหาข้อมูลจน  ตึ๊บ ……………..  ???  แบบนั้นก็ดี แบบนี้ก็ใช่  ต้องเรียกป่าป๊ามาประชุมว่า เราจะเลือกแบบไหนให้ลูกดี โดยพิจารณาจากลูกเป็นสำคัญ ซึ่งมาทบทวน นิสัย พฤติกรรม ความชอบในสิ่งต่างๆ  ของลูก  แนววิชาการไม่เหมาะกับลูกแน่นอน  จึงเลือกแนวบูรณาการให้ลูก เรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ แบบนี้เหมาะที่สุด การเรียนการสอนแต่ละแนว มีจุดดี จุดเด่นแตกต่างกันไป อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ให้ดูสถานการณ์ การเรียนการสอนของโรงเรียนเลยค่ะ แล้วสังเกตุพฤติกรรมของเด็กๆที่เรียนว่า เค้ามีความสนใจ   ความตั้งใจในกิจกรรมนั้นๆ  มีความเพลิดเพลินสนุกสนานหรือไม่  ครูมีการซักถามเด็กๆ แล้วเด็กมีการตอบคำถามครูอย่างไร อย่างน้อยๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบการตัดสินใจว่า ควรเลือกแบบใดให้ลูกที่มันจะเหมาะกับลูกของเรามากที่สุด

6-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-แนวการสอน-เรียนแบบบรูณาการ

6.อัตราส่วนของครู / เด็ก (ขอคุณครูใจดีด้วยนะคะ)

เด็กเล็กๆ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ทั้งหมดซะทีเดียว เมื่ออยู่รวมกันหลายๆคน ซึ่งมาจากหลายๆบ้าน นิสัย พฤติกรรม กฏกติกาของแต่ละบ้านก็แตกต่างกันออกไป เมื่อเด็กเหล่านั้นมารวมตัวกันจะเกิดอะไรขึ้น …..’’อลหม่าน ชุลมุลเด็กอนุบาล’’  ไหนจะเล่นแปลงร่าง  ต่อสู้   เล่นยิงปืน( ปิ้วๆๆกันทีน้ำลายกระจาย) เด็กผู้หญิงก็เล่นขายของ(เล่นอยู่ดีๆวงแตกก็มีนะคะ ) เนื่องจากการแปลงร่างและการต่อสู้ ในบางท่าทาง  ด้วยเหตุเหล่านี้ อัตราครูจึงต้องให้เหมาะสมกับเด็กๆ  เพื่อที่จะได้คุมเด็กๆให้อยู่ ในกรอบ ในระเบียบ  ในกฏกติกาของห้องเรียน  แม้กระทั่งเวลาสอน  เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ครูจะสามารถสอนเด็กๆได้ทั่วถึง มีความใกล้ชิดระหว่างครูและนักเรียน หรือแม้กระทั่งการเข้าห้องน้ำของเด็กๆ ครูจะดูเรื่องการรักษาความสะอาดได้ทั่วถึงมากขึ้น พฤติกรรม ท่าที กิริยาของครู ครูมีการพูดจาอย่างไรกับเด็กนักเรียนของเค้า

ครูบางท่านกรีดกรายนิ้วเยี่ยงคุณนาย  คำเรียกแทนตนเอง (สะดุดหู ครูเรียกแทนตัวเองว่า ‘’ชั้น’’ เรียกเด็กผู้หญิงว่า ‘’หล่อน’’ เรียกเด็กผู้ชายว่า ‘’เธอ ‘’  เมื่อเราพาลูกของเราไปโรงเรียน หากคุณครูเข้ามาทักทาย ‘’ลูก’’ เราบ้าง (ครูในห้องเรียนที่เราไปดูบรรยากาศนั่นน่ะค่ะ) มาชวนลูกเราไปเล่นกับเด็กๆในห้องเรียน นั่นก็พอจะเดาได้ว่าเค้า มีความเอาใจใส่เด็กดีค่ะ (บางโรงเรียนที่เดินชมโรงเรียน เห็นเราเป็นตัว  อัลรั๊ย….  มองตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่รอยยิ้มยังไม่มี  ทักทายกันสักคำก็ไม่มี ชมโรงเรียนเอาเอง ตามสบาย) การลงโทษเมื่อเด็กทำผิด ครูจะทำอย่างไร แก้ปัญหานี้อย่างไร เช่น นั่งเก้าอี้อยู่มุมใด มุมหนึ่งของห้อง  (เป็นระยะเวลาหนึ่ง)  ถูกแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน (จนกว่าจะรู้ว่าตัวเองผิด) แล้วทำการขอโทษเพื่อนๆ  ใชวิธีให้เพื่อนๆในห้อง บ้ายบาย โบกมือลาแก่เด็กทีทำผิด (เดี๋ยวเค้าก็จะขอโทษเอง) หรือ ทีหม่าม๊าโดน เจ้าแสบที่บ้าน ใช้บ้าง ก็คือ  อมมะนาว   อมซะขุ่นแม๊…..แก้มจะแตก

7-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-อัตราครูต่อเด็ก

7.การดูแลสุขอนามัยของเด็ก เรื่องง่ายๆ ที่เหมือนจะไม่ง่ายสักเท่าไร เด็กไปโรงเรียนมักจะป่วยบ่อย เป็นหวัด น้ำมูกไหล ไอ จาม  ไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก โรคฮิตๆต่างๆในแต่ละฤดู ป่วย เปื่อยมาแต่ละหน น้ำหนักตัวลูกก็ลด พ่อแม่ก็อยากจะป่วยแทนลูกซะเหลือเกิน จะดีหน่อยหากโรงเรียนและเหล่าผู้ปกครองให้ความร่วมมือกันในเรื่องของความสะอาด การหยุดเรียนเมื่อป่วย  หากโรงเรียนมีการตรวจคัดกรองเด็กในทุกเช้า สิ่งนี้เป็นสิ่งดีที่สุด ที่จะลดอัตราการเจ็บป่วยได้ เช่น วัดไข้  ใช้ไฟฉายส่องปากและคอของเด็ก  ตรวจฝ่ามือ และมีการสังเกตเด็กว่า ไอ จาม น้ำมูกมากน้อยเพียงใด หากมีอาการที่จัดว่าป่วยเยอะ   ครูควรแนะนำให้ผู้ปกครองนำเด็กนั้นกลับบ้านหรือไปตรวจที่โรงพยาบาล หรือมีการแยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ เพื่อรอผู้ปกครองมารับ (ซึ่ง ครูบางท่านมิได้ปฎิบัติเช่นนี้)

8-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรักสุขอนามัยโรงเรียนอนุบาล-เรียนอนุบาลป่วยบ่อย

8.บรรยากาศการจัดห้องเรียน 

บางโรงเรียนกั้นห้องเรียนโดยใช้ ล๊อคเกอร์ของเด็ก(ล๊อคเกอร์ 3 ชั้น/ 2 ชั้น)  กั้นเป็นห้องเรียนไป( ดูโรงเรียนลงทุนมหาศาลเลยนะคะเนี่ย ท่าทางจะเป็นสัดส่วนสุดๆๆอ่ะค่ะ )  การจัดห้องเรียนเป็นสิ่งสำคัญเด็กเล็กๆ เตรียมอนุบาล – อนุบาล 2 (โดยมาก)  จะใช้เป็น โต๊ะญี่ปุ่น (จะใช้ก็นำออกมากาง เลิกใช้ก็เก็บ)  จะทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มๆ  มีกิจกรรมวงกลมร่วมกัน เช่น การแนะนำตนเองในตอนเช้า ร้องเพลง เต้นเป็นวงกลม  ของเล่นต่างๆที่อยู่ในห้อง มีการจัดวางเป็นระเบียบ เป็นของเล่นที่ส่งเสริมกับพัฒนการของเด็ก อิเช่น บล๊อกไม้ ชุดเครื่องครัว  ชุดผักผลไม้ เป็นต้น  มีการปรับเปลี่ยนของเล่นอยู่เสมอๆ  ของเล่นในห้อง มีการชำรุดเสียหายหรือไม่ แตก บิ่น มีส่วนแหลมคม จะเป็นอันตรายกับเด็ก แม้กระทั่งฝุ่น ตามชั้นวางของเล่น (แอบเอานิ้วมือไปปาดดูก็ได้นะคะ ) ตุ๊กตา อันนี้ตัวดี ทั้งฝุ่น น้ำลาย  สะสมสิ่งสกปรกได้ดีเลย การตกแต่งห้องเรียน ดูแล้วเพลินตา  น่าสนุก ดูชักจูงความสนใจของเด็กได้ดี  น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ (โรงเรียนบางแห่ง ใช้ของเล่นซ้ำซากทั้งปี ทั้งเทอมไม่เคยคิดจะเปลี่ยน) พูดจากใจเลยนะคะเนี่ย เพราะหม่าม๊าไปนั่งเล่นกับเด็กๆบ่อยมาก  จนสุดท้ายต้องขนของเล่นที่่บ้านไปไว้ในห้องเรียนของลูกบ้างเล็กๆน้อยๆ (ไม่ขนไปเยอะ เพราะ หม่าม๊า งก)

คร้งหนึ่งเมื่อไปส่งลุกที่โรงเรียนในตอนเช้า ถึงกับตะลึง บรรยากาศในห้องเรียนของลูก มีเต๊น/กระโจม อยู่กลางห้อง ภายในนั้นมีหมอน ผ้าห่ม ของเด็กๆ อยู่จำนวนหนึ่ง

หม่าม๊า:   วันนี้ทำอะไรหันหรอคะ คุณครู

คุณครู:    วันนี้คุณครูจะสอนเรื่อง กลางวัน-กลางคืนค่ะ คุณแม่ ให้เค้ารู้ว่า เวลากลางวันเค้าต้องทำอะไร เวลากลางคืนเค้าต้องทำอะไร

แล้วในค่ำคืนวันนั้น เจ้าแสบ ก็เม้าท์เรื่องราวต่างๆที่โรงเรียน   แถมมาสอนหม่าม๊าว่า  ‘’มืดค่ำแล้วได้เวลานอนแล้วค่ะ ‘’

9-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-การจัดห้องเรียนอนุบาล

9.ความสะอาดเรียบร้อยของอาคารเรียน และอื่นๆ          

    โรงเรียนอนุบาลจริงๆ ก็ไม่ได้สกปรกอะไร สักเท่าไร คุณครู พีเลี้ยงจะคอยตามล้างตามเช็ดอยู่เสมอๆ สิ่งหนึ่งที่จะมองข้ามไปไมได้ นั่นคือ  ห้องน้ำ  มีแยกเป็นสัดส่วนของอนุบาลเลยจะดีมาก สุขภัณฑ์ต่างๆ ก็ให้เหมาะสมตามวัย พื้นห้องน้ำก็ควรสะอาด กลิ่นไม่พึงประสงค์ก้ไม่ควรจะมี พรมเช็ดเท้าหม่าม๊าเคยสะดุดเพราะเจ้าพรมเช็ดเท้ามันไม่ยึดกับพื้น เลื่อนไปมาได้ส่งผลให้ลื่นล้มไม่เป็นท่าเลย ( ดั้ง หม่าม๊า ไม่มีก็เพราะเหตนี้ล่ะ  ) ส่งเหล่านี้ แต่ละโรงเรียนจะไม่เหมือนกัน  ครูพี่เลี้ยงเป็นผู้ดูแล ล้างห้องน้ำ ถู-กวาดห้องเรียน  หรือบางโรงเรียนมีแม่บ้านประจำโรงเรียนเป็นผู้ทำความสะอาด เครื่องปรับอากาศ เปิดเฉพาะเวลานอนหรืออากาศร้อนได้เป็นดีที่สุด( อากาศในห้องเรียนต้องโล่ง โปร่งสบายนะคะ ) เดี๋ยวนี้โรงเรียนมักโฆษณาว่า ห้องเรียนปรับอากาศทุกห้อง ซึ่งมีทุกห้องค่ะ แต่ไม่เปิด ฮ่าๆๆๆ  (แล้วแต่ความชอบของ ผปค.แต่ละท่านนะคะ ) การมีเครื่องปรับอากาศนั้น ต้องมีการล้าง ทำความสะอาดอยู่เสมอๆ เดือนละครั้ง (หรือเปล่า ก็ไม่รู้ ???) การกำจัดยุงหรือยุงลาย โรงเรียนที่มีสนามหญ้า มีต้นไม้ แน่นอน  มียุงชัวร์ๆ อยากรู้ว่ายุงเยอะหรือไม่ก็ลองนั่งดู นั่งชมโรงเรียนไปเพลินๆ สักพัก โดนกัดแน่นอน  โรงเรียนของเจ้าแสบก็มียุงบ้างค่ะ หม่าม๊ายอมรับ  ฮุ ฮุ   ทางโรงเรียนแก้ปัญหาโดยการฉีดยายุง ทุกสัปดาห์ – 2 สัปดาห์ครั้งนี่แหล่ะค่ะ ( แอบลืมซะแล้ว )

ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น ดังนภากาศ อันบางเบา  (อย่าเพิ่งเครียด ………สูดลมหายใจเข้าลึกๆ  ฮึบๆๆๆ )

10.อาหาร ความสะอาดของอาหารและภาชนะใส่อาหาร       

       อาหารเหมือนจะไม่ค่อย ซีเรียส แต่ก็น่าซีเรียส เมนูเด็กๆ ก้ มี หมู่ มีไข่ มีผัก ผลไม้  ครบ 5 หมู่ เท่านนี้ก็เพียงพอ หากลูกของเราแพ้สิ่งใดก็แจ้งครูประจำชั้นไว้เลยค่ะ เขียนเน้นๆ ย้ำๆไว้เลย ว่า ลูกแพ้อาหารชนิดใด  อยากรู้ว่าบรรยากาศเด็กๆทานข้าวกลางวันเป้นอย่างไร ไปดูตอน 11.30-12.00  น.  ค่ะ สอบถามทางโรงเรียนดูว่า มีเมนูอะไรบ้างที่ทำให้เด็กๆ ทาน  มีการปรับเปลี่ยนเมนูบ่อยไหม มีหมู เนื้อ ไก่ ผักมากน้อยแค่ไหน   ภาชนะที่ใส่อาหารของเด็กๆ สะอาดไหม แก้วน้ำของเด็กๆ  โต๊ะ-เก้าอี้สะอาดหรือไม่ (บางที่ เด็กๆ มาช่วยคุณครูจัดโต๊ะอาหารก็มีค่ะ ถ้าใครซีเรียสก็ถามชัดๆเลยค่ะ) เรื่องของแก้วน้ำ / ตู้กดน้ำดื่ม หากเป็นโรงเรียนที่มีระดับชั้นประถมด้วย จะมีตู้กดน้ำ ซึ่งจะมีตระกร้าคว่ำแก้วที่ใช้แล้ว กับยังไม่ได้ใช้  แยกกันคนละใบ เห็นเต็มสองตา คุณแม่บ้านของโรงเรียน เธอนำแก้วที่ใช้แล้วมาวางในตระกร้าที่ยังไม่ได้ใช้  (เพราะเธอจะได้ไม่ต้องไปล้างทำความสะอาด บ่อยๆ ) ขุ่นพระ ….!!! ถึงลูกเราจะไม่ได้ใช้ภาชนะจากตรงนั้น แต่ คุณแม่บ้านนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งในผู้ดูแลภาชนะการรับประทานอาหารของลูกนะคะ หม่าม๊าล่ะเครียด  !!! จะเหลือรึ …. แจ้ง ผอ. จัดการกันต่อไป << ขี้ฟ้องเน๊อะ เช้าๆ รีบไปทำงาน เย็นก็รถติดกว่าจะถึงบ้าน ไม่มีเวลาทำกับข้าว ทำอาหารให้ลูก  โรงเรียนจะมีเมนูอาหารเช้า –อาหารเย็นให้เด็กๆ รับประทาน หากโรงเรียนมีสิ่งเหล่านี้ ให้ คุณพ่อ คุณแม่เบาแรงไปได้เยอะเลยนะคะ

11.การดูแลพิเศษ – ช่วงเวลาพิเศษ ของโรงเรียน         

    อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก  แถมต้องทำงานทั้งพ่อ ทั้งแม่  จัดสรรเวลาการรับส่งลูกยากซะเหลือเกิน  ก็ลองมองหาโรงเรียนที่เค้ามีช่วงเวลาพิเศษ เลี้ยงเด็กหลังเลิกเรียน  ป้อนข้าว อาบน้ำ สอนการบ้านให้เสร็จสรรพ (ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คิดเป็นราย วัน รายเดือน ก็มีค่ะ ) แล้วแต่นโยบายของโรงเรียนนั้นๆ แบบนี้เหมาะสำหรับครอบครัวเดี่ยวในเมืองกรุงมากๆ แต่จะมีอยู่เพียงไม่กี่โรงเรียน หากโรงเรียนไม่มีช่วงเวลาพิเศษลองสอบถามครูประจำชั้นว่า สามารถฝากเลี้ยงช่วงเวลาหลังเลิกเรียนได้หรือไม่  โดยมีค่าเสียเวลาส่วนนี้ให้ (ซึ่งทำข้อตกลงกันเองระหว่าง ครู / ผู้ปกครอง )

10-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-อาหารวัยอนุบาล

12.ที่จอดรถรับ-ส่งลูก กินเวลาไปไม่น้อยสำหรับพ่อแม่ที่ต้องรีบไปทำงาน  หรือบางท่านอยากจะอยู่ดูลูกว่า อยู่โรงเรียนเป้นอย่างไรบ้าง(ในช่วงเปิดเทอมแรกๆ )   แต่ไม่มีที่จอดรถ  ต้องรีบขับรถออกมา เพราะ มีผู้ปกครองท่านอื่นๆ รอส่งบุตรหลานกันอยู่  แต่จริงๆ ซีเรียสเรื่องรถติดมากกว่า กว่าจะขยับออกมาได้ ไปทำงานสายกันพอ หรือ จะหลีกหนีรถติดๆ ก็ต้องตื่นเช้ากันทั้งบ้าน และที่น่าเจ็บใจที่สุด ต่อแถวเพื่อไปส่งลูกในโรงเรียนก็จะมี ผู้ปกครองมือโปร ขับปาดมา ฉะแว้บบบบบบ  แทรกตัวเราเข้าโรงเรียนไป (ช้านต่อแถวมาตั้งนาน แก มากจากไหน  มันน่าเจ็บใจจริงๆเล๊ย)

11-เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก-ที่จอดรถในโรงเรียน

บทสรุป เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกรัก

–           ไปสำรวจโรงเรียนตอนเช้า สาย จะดีที่สุด จะได้เห็นบรรยากาศ สำคัญๆ  ช่วงกลางวันเด็กจะนอนกันหมดแล้ว ช่วงเย็น เด็กกลับบ้าน  ทำให้เราไม่สามารถทราบความเป็นอยู่ของเด็กๆที่แท้จริงได้

–           โรงเรียนที่เป็นโรงเรียนอนุบาลล้วนๆ  เด็กกับครูจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก แถม ยังรู้จักกันทั้งโรงเรียน (ทั้งครู นักเรียน และแม้แต่นักเรียนด้วยกันเอง)  แต่โรงเรียนแนวนี้ คุณพ่อ คุณแม่ต้องออกตามล่าหา โรงเรียนระดับชั้นประถมให้ลูกอีกรอบหนึ่ง  เหมือนจะเหนื่อย อีกรอบทั้งหม่าม๊าและลูก (แต่หม่าม๊ายอมเหนื่อย เพราะเห็นเจ้าแสบมีความสุข  ความสุขของลูก คือ ความสู๊ขสุขของหม่าม๊า )

–           โรงเรียนอนุบาล ที่สามารถเรียนต่อระดับชั้นประถมได้เลย อันนี้ ไม่เหนื่อยแน่นอน (จบอนุบาลปุ๊ป ก็ต่อประถมที่โรงเรียนได้ปั๊ป) แต่ ส่วนใหญ่ เนื่องจากเด็กเยอะ ครูจะจำเด็กได้ไม่หมดทุกคน บ้างก็หยิบเด็กห้องครูท่านอื่นมาไว้ห้องตัวเองก็มี  บางที เด็กเล่นอยู่สนามตามลำพัง ครูตะโกน ถามกันว่า นั่น ลูกสาวห้องไหน  ( ก็นะครูจำเด็กไม่ได้นิหน่า )

–           ค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะค่าเทอม  ค่าซัมเมอร์ โรงเรียนแต่ละแห่งนโยบายการจ่ายค่าเทอมต่างกัน  จ่ายปีละครั้งบ้าง  จ่ายเทอมละครั้ง หรือ สามมารถผ่อนชำระเป็นรายงวดได้ทั้งปี  ซึ่งต้องคำนวณว่า เราต้องเก็บเดือนละเท่าไรเพื่อให้เพียงพอกับการจ่ายค่าเทอม (นอกจากนนี้ อาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ บ้างเล็กๆน้อยๆ   แต่…เด็กอนุบาลเค้าคงจะคุยกันถึงกิจกรรม วันหยุด เจ้าแสบ มาขอเรียน บัลเล่ย์ ดนตรี และอื่นๆ  ก็จัดไปตามที่จะชอบค่ะ )

–           การเยี่ยมชมโรงเรียน อย่าได้คาดหวังอะไรมากนัก ครูธุรการจะมาเป็นผู้แนะนำโรงเรียน ให้ข้อมูลต่างๆ  สอบถามและได้คำตอบทันที หรือบางโรงเรียนเราต้องเดินชมโรงเรียนเอาเอง หากมีข้อสงสัยหรือยากสอบถามกรุณาเดินมาสอบถามเอง –           ไม่ว่าจะโรงเรียนรัฐหรือโรงเรียนเอกชน ก็ดีเหมือนๆ กัน หรือแม้แต่โรงเรียนวัด เด็กจะได้ดีขึ้นอยู่กับหลายๆอย่าง เราจะส่งเสริมลูกไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐาน  ฐานะของแต่ละครอบครัว ที่สำคัญ แนวคิดของแต่ละครอบครัวต่างกัน  แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พ่อแม่ทุกคนรักลูก เราจึงต้องเลือกโรงเรียน(อนุบาล)ให้ลูกรัก ที่ดีที่สุด ที่ตรงใจพ่อแม่ถูกใจลูกมากที่สุด นั่นเอง

อย่าลืมพาลูกไปดูโรงเรียนด้วยนะคะ ให้เค้าช่วยเลือก สังเกตว่าเค้าชอบหรือไม่  ให้ลูกได้เป็นส่วนหนึ่งของการเลือกโรงเรียน  

ตั้งใจเขียนกลั่นกรองออกมาสุดๆ แถมมาโชว์ความเป็นเลิศ(เลิ๊ส-เลิศ)  ทางศิลปะอีก ชอบใช่มั้ยล่ะคะ ออกจะสวยเหมือนคนวาดขนาดนี้ การ์ตูนเป็นยังไง คนวาดก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร ลายมือยิ่งแล้ว โห๊ะๆ หากเรื่องราวนี้เขียนได้ขาดตกบกพร่องส่วนใดไปหม่าม๊าขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะคะ  หรือคุณพ่อ คุณแม่ อยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม หลังไมล์มาได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคำถาม ยินดีแชร์ประสบการณ์จ้า  สุดท้ายนี้ขอกำลังใจสักกะนิ๊ด …….. ได้โปรดให้กำลังใจหม่าม๊าหน่อย(( ออดอ้อนแบบเจ้าแสบ))  ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/หรือ กด Like ที่ Fanpage ของ หม่าม๊าบ้าพลัง ได้ที่ www.facebook.com/mamamadmad เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการนำเรื่องราวดีๆ มานำเสนอกันต่อไปค่ะ ตอนต่อไปขอเสนอ การเตรียมความพร้อมให้ลูกในการเป็นนักเรียนใหม่ ใหม่ ใหม่ ใหม่

The Art Family ครอบครัวตัว ‘’อาร์ท’’ ป๊าบ๊อบ ม๊าแฟร์ น้องบีบี สามคนพ่อแม่ลูกที่มักหากิจกรรมทำร่วมกันเสมอๆ ป๊าบ๊อบผู้น่ารัก ใจดี(มั้ง)ที่สุดในบ้าน ม๊าแฟร์หญิงผู้ทรงพลัง-เจ้าระเบียบและโหดสุดในบ้าน น้องบีบีเด็กที่พูดได้ทั้งวัน ถามได้ทั้งวัน แบตเตอร์รี่ของเธอเต็มตลอดเวลา(Auto Charge) ความอาร์ทๆของเขาทั้งสามเป็นความอาร์ทที่ลงตัว อาร์ทกิน อาร์ทเที่ยว อาร์ทสรรหากิจกรรมต่างๆเพื่อผูกสัมพันธ์ให้ทุกคนในครอบครัว ความทุ่มเทของผู้เป็นแม่และภรรยาที่พร้อมจะดูแลทุกๆคนในครอบครัวให้มีความสุขLifestyle ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบตามเวลาและความเหมาะสม ในแบบฉบับที่ลงตัว (ภายใต้ความ ‘’อ๊าทส์ ‘’ของเขาทั้งสาม) กับผลงานการสร้างโดย หม่าม๊า บ้าพลัง หม่าม๊า บ้าพลัง https://www.facebook.com/mamamadmad

Follow

Get every new post delivered to your Inbox

Join other followers:

%d bloggers like this: