web analytics
ติดตามพวกเราบน Facebook

3 วันก่อนการเดินทาง นั่งมองดูวันว่างบนปฏิทินในเดือนธันวาคมที่มีว่างอยู่เกือบ 10 วันแล้วก็รู้สึกนึกอยากจะนั่งรถไฟไปเที่ยวไกล ๆ ขึ้นมา ในระหว่างนั้นก็เปิด Facebook เลื่อนดูหน้า feed ไปเรื่อยเปื่อยแล้วเห็นรูปพี่แบงค์ขึ้นมาพอดี ซึ่งพี่แบงค์เป็นพี่ที่รู้จักกัน แกอยู่หมู่บ้านติดกันที่กรุงเทพฯ ซึ่งเราก็เคยเตะบอล กินดื่มด้วยกันมาก็หลายครั้ง และก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้พี่แบงค์ไปทำงานอยู่ที่เวียงจันทร์ ก็เลยลองทัก inbox ไปพูดคุย

“พี่แบงค์ ตอนนี้ยังอยู่เวียงจันทร์อยู่มั้ยพี่” “ยังอยู่ ๆ ยังไม่กลับง่าย ๆ หรอก ว่าไงล่ะเรา สบายดี?”
“สบายดี ๆ แต่ตอนนี้อยากไปเที่ยวเวียงจันทร์ว่ะพี่ อีกสัก 3 วันเดี๋ยวนั่งรถไฟขึ้นไป แต่ยังไม่ได้ทำ Passport เลย จะข้ามแดนไปได้มั้ยแบบนี้”
“ถ้าเอ็งมาเดี๋ยวพี่พาเที่ยว ใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวก็ได้อยู่ได้ 3 วัน เดี๋ยวนั่งรถไฟมาถึงหนองคายแล้วก็ให้สามล้อขับพาไป ค่าทำก็ประมาณ 100 กว่าบาท ถึงแล้วค่อยมาพักอยู่ห้องพี่ก็ได้”

บทสนทนาที่เรียบง่ายแต่ก็ช่วยให้เราตัดสินใจได้ไม่ยาก ไม่มีความลังเลใจอะไรอีกแล้ว เริ่มวางแผนว่าจะไปจุดไหนบ้าง เตรียมกล้อง เตรียมเสื้อผ้าไว้พร้อมก่อนถึงวันเดินทาง 1 วัน แต่ยังไม่ได้บอกใครทั้งนั้นเพราะรอบนี้ตั้งใจว่าจะไปคนเดียว พอกลับมาก็จะมีนัดเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนซึ่งเรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง

ตลอด 3 วันนั้นไม่ได้ทักไปหาพี่แบงค์อีกเลย แล้วก็ทักไปอีกทีตอนที่ได้ตั๋วรถไฟมาก่อนออกเดินทาง 20 นาทีแล้วถ่ายรูปส่งไปให้ดู แกก็ตกใจว่าจะมาถึงพรุ่งนี้แล้ว แต่ก็รับปากว่ามาถึงแล้วให้โทรหา เดี๋ยวจะไปรับ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรานั่งรถไฟฟรีเดินทางไกล ๆ แบบนี้ ก่อนหน้านี้เคยนั่งไป-กลับเชียงใหม่มาแล้ว 2 รอบ พอจะรู้ซึ้งถึงความทรมานกับการนั่งรถไฟนานเกินกว่า 10 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่เข็ด กลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเพราะครั้งนี้เป็นการออกนอกเขตแดนไทยไปเวียงจันทร์

อากาศเริ่มเย็นตั้งแต่ตอนที่ขึ้นมาจากสถานีดอนเมืองตอน 20.30น. อันที่จริงอากาศแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติในเดือนธันวาคม ผู้คนที่เห็นอยู่โดยรอบ ซึ่งทุกคนต่างใส่เสื้อกันหนาวแลดูเตรียมพร้อม บางคนก็หยิบเอาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ป้องกันลมหนาวที่ทุกคนบนรถไฟจะต้องเผชิญหน้าในเวลาที่ยิ่งดึกขึ้นไป

ที่นั่งของเราอยู่ติดกับทางเดิน ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นผู้ชายทั้งหมด รู้สึกเซ็งชะมัด แต่หลังจากที่เลิกสนใจสิ่งที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วทอดสายตามองออกไปข้างหน้าอีก 3 แถว ก็เจอกับสาวน้อยตาใสที่ใส่หมวกสีชมพู อารมณ์ที่ขุ่นมัวของเราก็เริ่มแจ่มใสขึ้นมาโดยฉับพลัน อย่างน้อย ๆ ก็ยังพอได้เห็นอะไรดี ๆ บ้าง เพราะสองข้างทางตอนนี้มีแต่ความมืดกับแสงไฟริมทางที่ไม่ได้สว่างสักเท่าไรนัก

ช่วง 21.00-22.00 ยังพอมีพ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายของกันอย่างคึกคัก ด้วยราคาลดกระหน่ำถึงขีดสุด ข้าวกล่องนึงราคาเหลือ 15-20 บาทเท่านั้น เพราะปกติที่เคยเห็นตอนกลางวันในเที่ยวก่อน ๆ จะราคา 30-40 บาท อารมณ์ประมาณลดล้างสต็อกอะไรทำนองนั้น แต่พอผ่านสี่ทุ่มไปแล้ว จำนวนพ่อค้าก็เริ่มบางตา แต่ก็ยังพอมีขึ้นมาบ้างประปรายหลังจากที่รถไฟจอดในสถานีต่าง ๆ แต่ส่วนมากช่วงดึก ๆ จะขายพวกกาแฟร้อน โอวัลตินร้อน หรือไม่ก็เครื่องดื่มเย็น ๆ ใส่กระติกน้ำแข็งแล้วก็เดินถือขึ้นมาเร่ขาย อย่างไรก็ตามด้วยเวลาที่ดึกแบบนั้นจึงมีน้อยคนที่สนใจ หลายคนม่อยหลับไปอย่างไม่สนใจโลก หยิบเอาผ้าห่มมาคลุมโปงแล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น หรือในบางที่นั่งที่มีคนลงไปแล้วไม่มีใครขึ้นมาแทน ก็จะมีคนไปนอนเอกเขนกเหยียดขาอย่างสบายอุรา ส่วนตัวผมเองยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ค่อนคืนแล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสาม ลมจากข้างนอกที่พัดเข้ามานั้นหนาวจนยากที่จะข่มตาหลับได้สนิท แต่หลาย ๆ คนที่อยู่บนขบวนนั้นก็ยังหลับกันได้สบาย ไม่มีเสียงพูดคุยให้ได้ยินเลยสักนิด ไฟบนเพดานหลายดวงก็ถูกปิดจนทำให้รู้สึกวังเวงอยู่บ้างเหมือนกัน

แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นในตอนเช้าทำให้เรารู้สึกมีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด  ทั้งที่เมื่อคืนได้นอนอยู่ไม่กี่ชั่วโมง แถมหลับไม่ค่อยสนิทด้วย บางทีอาจเป็นเพราะเรานั่งหนาวโดยที่ไม่มีผ้าห่มมาคุมกายแทบทั้งคืน พอมาเจอแดดในตอนเช้าเลยรู้สึกสมกับที่รอ

เดินลงมาจากรถไฟในช่วงสาย ตอนนั้นเวลาประมาณ 9 โมงกว่า ๆ เห็นจะได้ คราวนี้ก็ต้องหาสามล้อแล้วบอกให้พาไปทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว ซึ่งก็อยู่ในเส้นทางเดียวกันกับที่จะไปจุดผ่านแดนข้ามไปฝั่งลาว

พอมาถึงจุดผ่านแดนก็จัดการแลกเงินไทยเป็นเงินกีบแล้วก็ยื่นบัตรผ่านให้กับเจ้าหน้าที่ เสร็จแล้วก็เดินไปขึ้นรถบัสที่จะข้ามไปฝั่งลาว ซึ่งจะพาเราไปลงที่ตลาดเช้า ค่ารถในตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดก็ราว 5,000 กีบ (ประมาณ 20 บาท) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-40 นาที ระหว่างนี้ก็ยังพอมีสัญญาณโทรศัพท์จากฝั่งไทย สามารถใช้มือถือเล่นเน็ตเข้าเว็บ scr888 ได้อยู่ แต่ก็แค่ลองเช็คดูแล้วก็เก็บโทรศัพท์ สิ่งที่ควรสนใจในตอนนี้คือสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรามากกว่า

11 โมงกว่า ๆ ในที่สุดก็มาถึงตลาดเช้าในเขตเมืองหลวงของประเทศลาว ที่นี่เต็มไปด้วยรถสองแถว สามล้อ และมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งกันขวักไขว่ แลดูวุ่นวายอยู่เหมือนกัน มองไปรอบ ๆ ก็เห็นตัวหนังสือที่เป็นภาษาของที่นี่อยู่ทั่วไปหมด แต่มันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันชัดว่า การเดินทางที่นานกว่า 15 ชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่แล้ว


สวัสดี…เวียงจันทร์

ติดต่อบทความลงโฆษณา คลิ้กที่นี่

Follow

Get every new post delivered to your Inbox

Join other followers:

%d bloggers like this: