จากจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ผมกับภรรยาตั้งใจจะพาคุณพ่อคุณแม่ภรรยาวัย 65 ปีที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตออกไปท่องเที่ยวทวีปยุโรป นี่คือโอกาสในการทดแทนบุญคุณของลูก ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของพระคุณที่ท่านทั้งสองได้ทำงานและเลี้ยงดูครอบครัวมาตลอดชีวิตของท่าน แต่ก็คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน ในทวีปที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดของโลกแบบนี้
ช่วงสงกรานต์ 2014 ที่ผ่านมา ครอบครัวพวกเรา 6 ชีวิต ได้ออกเดินทางไปยังยุโรปตะวันออก 4 ประเทศ ได้แก่ สาธารณะรัฐเช็ก Czech Republic, ออสเตรีย Austria, เยอรมัน Germany และฮังการี Hungary
โดยทริปนี้เป็น Family Trip โดยแท้จริง เนื่องจากลูกทัวร์ของผมมีตั้งแต่เด็กน้อยอายุ 2 ขวบ และคุณพ่อคุณแม่ของภรรยาวัย 65 ปี ไปด้วยพร้อมกัน เมื่อเรามีทั้งเด็กและ สว. ให้ต้องดูแล การแบกเป้เที่ยวจึงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะของใช้ต่างๆของเด็กๆย่อมมากมายกว่าปกติอยู่แล้ว และ สว. ก็คงไม่สามารถแบกกระเป๋าหนักๆได้
โจทย์ของผมที่จะต้องจัดทริปครั้งนี้ คือ
– กระเป๋าใหญ่และหนักจะต้องห้ามแบก
– ประหยัด สะดวก และปลอดภัย
– ต้องนอนสบาย ไม่ย้ายที่พักบ่อยเกินความจำเป็น
– ต้องได้ทานอาหารไทย
ผมตั้งงบประมาณไว้ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน รวมเด็กๆนะครับ
ผมใช้งบจริงไป 56,xxx บาทต่อคน รวมตั๋วเครื่องบิน วีซ่า รถเช่า น้ำมัน ที่พัก(แบบโคตรอลังการ) กินอร่อยทุกมื้อ ขนมนมเนยจัดเต็ม เที่ยวกระจุย และกินกระจายครับ ในก้อนนี้มีของฝากต่างๆรวมอยู่อีก 27,xxx บาทครับ ซึ่งหากใครไม่ช้อปปิ้งนำก้นนี้หักออกจะเหลือเพียงไม่เกิน 53,000 บาทต่อคน (ซึ่งตั๋วเครื่องบินเด็กจะถูกกว่าตั๋วผู้ใหญ่ 10% ส่วนที่นอนมีที่นอนสำหรับ 6 คน) ซึ่งหากจะคำนวณแบบหารเฉลี่ยเฉพาะผู้ใหญ่ 4 คน โดยตัดค่าใช้จ่ายต่างๆของเด็กๆไปแล้วหาร 4 ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ไม่เกิน 70,000 บาทต่อคน (คำนวณคร่าวๆนะครับ)
ทริป 6 ชีวิต คน 3 รุ่น อายุ 2 ขวบยัน 65 ปี กับ 14 วัน 2,500 km พิชิต 4 ประเทศ 11 เมือง ภารกิจคือความสุข รอยยิ้มของคนที่รัก และความตั้งใจในการรีวิวแบ่งปันข้อมูลการเดินทางให้กับทุกครอบครัวสามารถเดินทางตามรอยพวกเราเที่ยวยุโรปตะวันออก 4 ประเทศ สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย เยอรมัน ฮังการี กับ 11 เมืองที่สวยที่สุดของภูมิภาคนี้
เส้นทางของพวกเราเริ่มจากประเทศสาธารณะรัฐเช็ก Czech Republic เที่ยว ปราก Prague ก่อนออกเดินทางลงใต้ไปยังเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ Cesky Khumlov จากนั้นข้ามพรมแดนไปสู่ประเทศออสเตรีย Austria เที่ยวที่เมืองซาลส์บวร์ก Salzburg แวะเที่ยวมรดกโลกทะเลสาปโคนิกส์เซ่ Konigssee Lake
แล้วมุ่งหน้าตะวันตกไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศเยอรมัน Germany ที่ยอดเขาซุกสปิตเซ่ Zugspitze แล้วไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสไตน์ Neuschwanstein Castle
วนกลับมาประเทศออสเตรียแวะเที่ยวเมืองอินส์บรุค Innsbruck แวะเที่ยวมิวนิค Munich (เปลี่ยนแผนเพราะสภาพอากาศไม่ดี)
ก่อนจะมุ่งหน้าตะวันออกไปพิชิตเมืองฮัลสตัท Hallstatt แวะเที่ยว เวียนนา Vienna แล้วมุ่งหน้าต่อเมืองบูดาเปสต์ Budapest ประเทศฮังการี ก่อนจะวนกลับมาที่ปรากอีกครั้งเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย
รวมภาพรวมของทริปเหมือนสามเหลี่ยมนะครับ ระยะทาง 2,146 km ตามระยะ google map แต่ผมขับรถจริงเกือบ 2,500 km รวมหลงทางและขับเที่ยวแวะที่ต่างๆ
ใครจะตามรอยไม่จำเป็นต้องวิ่งตามนี้นะครับ เพราะว่าผมมีตรวจสอบสภาพอากาศ หากที่ไหนอากาศไม่ดี ผมจะเปลี่ยนแผนหน้างานเอา ทำให้บางช่วงจะมีย้อนไปย้อนมาบ้างครับ หากจะดูโปรแกรมการเดินทางของเราจะเป็นอย่างนี้ครับ
วันแรก – เดินทางจากกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Ukraine International Airline เปลี่ยนเครื่องที่ Kiev ไปลงที่ Prague เข้าที่พักแล้วเที่ยวได้ครึ่งวัน
วันที่ 2 – เที่ยวปรากทั้งวัน
วันที่ 3 – รับรถเช่าแล้ว เดินทางไป Cesky Krumlov
วันที่ 4 – ออกเดินทางต่อไป Salzburg
วันที่ 5 – เที่ยวทะเลสาบ Konigssee บ่ายๆกลับมาเที่ยว Salzburg
วันที่ 6 – เดินทางไปขึ้นยอดเขา Zugspitze บ่ายไปเที่ยว Neuschwanstein Castle พักที่ Innsbruck
วันที่ 7 – เที่ยว Innsbruck
วันที่ 8 – เดินทางไปมิวนิค (อันนี้เพิ่มจากแผน เพราะเช็กสภาพอากาศที่ Hallstatt มีพายุ) เที่ยวแล้วพักที่ Hallstatt
วันที่ 9 – เที่ยว Hallstatt บ่ายออกเดินทางไป Vienna
วันที่ 10 – เที่ยว Vienna
วันที่ 11 – เที่ยว Vienna
วันที่ 12 – เที่ยว Vienna
วันที่ 13 – เที่ยว Budapest
วันที่ 14 – เดินทางกลับ
ตลอด 14 วันมันเป็นความทรงจำสุดพิเศษจริงๆ ผมมีเรื่องเล่ามากมาย จะให้เล่าหมดอาจจะต้องใช้เวลาอ่านหลายชั่วโมง ขอนำภาพมาสักชุดเพื่อสรุปว่าพวกเราไปทำอะไรที่ยุโรปตะวันออกมาบ้าง
นั่งมองวิวแม่น้ำวัตตาวายามค่ำคืนที่โรแมนติกสุดๆ ที่ปราก Prague
จ้องแสงไฟที่สะพานพระเจ้าชาร์ลส์ Charles Bridge
ไปเดินเล่นในเมืองที่หลุดออกมาจากนิยายอย่าง เชสกี้ ครุมลอฟ Cesky Khumlov
นั่งมองพระจันทร์ที่ปราสาทกรุมลอฟ The Castle Complex
มองวิวเมืองซาลส์บวร์ก Salzburg จากที่สูง
พาภรรยามานั่งเล่นกับดอกไม้สีสันสดใสที่ Mirabell garden
แวะเที่ยวมรดกโลกที่ว่ากันว่าต้องมาดูด้วยตาตัวเองให้ได้ก่อนตาย โคนิกส์เซ่ Konigssee Lake
ให้ครอบครัวนั่งทอดอารมณ์กับทะเลสาปแสนสงบ
พิชิตยอดเขาซุกสปิตเซ่ Zugspitze Top of Germany
ได้อุ้มภรรยาในวิวสุดพิเศษแบบนี้
พาตัวเองย้อนกลับสู่ยุคกลางที่ปราสาทนอยชวานสไตน์ Neuschwanstein Castle
เยือนเมืองท่ามกลางขุนเขาอินส์บรุค Innsbruck
เที่ยวชมเมืองเสือใต้ มิวนิค Munich
เหม่อลอยดูภาพสะท้อนเมืองด้วยกระจกวิเศษจากธรรมชาติในทะเลสาบ ที่ฮัลสตัท Hallstatt
กางแขนสุดกว้างชมวิวที่สุดยอดแบบ Titanic บนเหมืองเกลือ
ผมได้ออกเดทกับนางเอกแห่งทวีปยุโรป กรุงเวียนนา Vienna
นอนเท้าคางบนสนามหญ้ากับวิวพระราชวังเชินบรุนน์ Schonbrunn
ชมวิวแม่น้ำดานูปที่เมืองบูดาเปสต์ Budapest
แสงไฟมันสวยเกินไปจนเผลอใจหลงรักที่นี่
รีวิวตอนนี้จะเป็นตอนที่เล่าถึงภาพรวมของทริป เคล็ดลับการเดินทาง ทำอย่างไรให้ประหยัด เดินทางอย่างไรให้สะดวก และแนะนำการเดินทางกับเด็กๆและผู้สูงวัยนะครับ ส่วนรายละเอียดแต่ละเมืองคงไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมด คงต้องติดตามอีกครั้งในรีวิวฉบับเต็มนะครับ
ข้อมูลเบื้องต้นก่อนเดินทาง
วีซ่า
กลุ่มประเทศแชงเก้น ให้ขอวีซ่าประเทศที่เดินทางนานที่สุด เช่นทริปนี้ 14 วัน ผมอยู่ออสเตรียมากสุด 8 วัน จึงต้องไปขอวีซ่าที่สถานทูตออสเตรีย โดยเมื่อเราได้วีซ่าแชงเก้นแล้ว เราสามารถเดินทางผ่านพรมแดนประเทศในกลุ่มนี้ได้ทั้งหมดครับ
เราอาจจะต้องศึกษาระเบียบการขอวีซ่าของแต่ละประเทศให้ดีครับ เช่น ต้องขอที่ไหน ที่สถานทูต หรือว่าต้องขอวีซ่าผ่านตัวแทน อย่างประเทศออสเตรียต้องขอผ่านตัวแทนเค้าครับ ผมก็ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม และทำการนัดวันตามที่เค้ากำหนดไว้
http://www.vfsglobal.com/austria/thailand/thai/
ค่าเงิน
Czech Republic ใช้เงินสกุล โครูนาเช็ก หรือ โครน CZK ครับ อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1.6-1.8 บาท/โครน (เม.ย. 2014) ไม่ต้องแลกจากไทยไป ให้ใช้เงินยูโรไปแลกตามร้านแลกเงินที่นั่นได้เลย ที่พัก ร้านอาหารและร้านค้าบางร้านก็รับเป็นยูโรนะครับ แต่อาจจะโดนอัตราแพงกว่าปกติ และที่สำคัญเวลาแลกเงินต้องถามก่อนนะครับ บางร้านมี commission fee ซึ่งรวมแล้วแพงเอาการอยู่ เคล็ดลับง่ายๆ คือต้องแลกไกลจากจุดท่องเที่ยวหลักสักหน่อย มีหลายร้านเลย ลองเปรียบเทียบราคาดูนะครับ แต่ถ้าเอาสะดวกจ่ายเป็นยูโรไปเลยก็ดีครับ ไม่ต้องเหลือเศษเงินให้จุกจิกรำคาญใจ เวลาจะใช้ทีเพ่งแล้วเพ่งอีกว่าสกุลเงินอะไร
Austria และ Germany ใช้เงินสกุล ยูโร Euro อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 44.7-45 บาท (เม.ย. 2014) ควรแลกเป็นเงินสกุลหลักในการเดินทาง
Hungary ใช้เงินสกุล โฟรินท์ฮังการี HUF อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 0.15 บาท (เม.ย. 2014) เช่นเดียวกับเช็ก ไม่ต้องแลกจากไทยไป ให้ใช้เงินยุโรปแลกที่นั่นครับ
อากาศ
เว็บนี้ค่อนข้างแม่นยำ มีรายละเอียดเป็นรายชั่วโมงเลย ช่วยให้เราวางแผนเที่ยวได้เหมาะสมกับสภาพอากาศครับ http://www.accuweather.com/th/at/austria-weather
การเตรียมตัวเบื้องต้น
ผมเคยเขียนบทความการเตรียมตัวเดินทางกับครอบครัวหรือเด็กเล็กไว้อ่านได้ที่นี่ครับ
เทคนิควิธีการเตรียมตัวพา เด็กเล็ก ลูกน้อย ไปท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเอง
Checklist การเตรียมตัวการเดินทางแบบครอบครัว มาจัดกระเป๋าเดินทางแบบไม่ตกหล่นกันเถอะ
สิ่งที่ผมขาดไม่ได้เลยในทริปลุยๆแบบนี้ คือ รถเข็นก้านร่มครับ มันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ เพราะนอกจากจะช่วยทุ่นแรงไม่ต้องอุ้มแบกเด็กๆเวลาที่ต้องเดินเยอะๆแล้ว ยังมีประโยชน์ในการใส่ของ ประหยัดแรงในการถือด้วย
รถเข็นก้านร่มที่ผมแนะนำ จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีคือ แข็งแรงแต่น้ำหนักเบา มีที่กันแดดและฝน สามารถปรับเอนนอนได้เยอะๆ และต้องพับเก็บได้ดี ถ้าพับแล้ววางตั้งได้ด้วยจะยิ่งแจ๋วครับ อย่างรถเข็นก้านร่มคันนี้ ยี่ห้อ Fedora ครับ มีคุณสมบัติที่ต้องการทุกประการ ใช้แล้วปลื้มสุดๆ ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่นะครับ https://www.facebook.com/fedorathailand
สิ่งที่เตรียมไปจากเมืองไทย
ผมเตรียมนมกล่องไปให้เพียงพอกับเด็กๆครับ ที่จริงใครไม่อยากแบกสามารถไปหาซื้อที่นั่นได้ แต่ว่าลูกผมค่อนข้างติดยี่ห้อเดิมครับ เลยจำเป็นต้องแบกไปด้วย พวกขนมต่างๆไว้สำหรับเด็กๆในกรณีทานอาหารฝรั่งไม่ได้ก็ให้รองท้องไป
ที่พิเศษหน่อยคือ ผมพกหม้อหุงข้าวและข้าวสารไปด้วยครับ ตวงนับมื้อไปเลย อีกส่วนเป็นเครื่องปรุงต่างๆ เครื่องแกงยี่ห้อรอยไทย Work และสะดวกมากครับ
เคล็ดลับความประหยัดของผมที่จริงส่วนใหญ่ ประหยัดจากมื้ออาหารครับ เพราะถ้าออกไปทานข้างนอก เอาแบบถูกสุดๆยังตกหัวละ 10 ยูโร แบบไม่อิ่มด้วย ถ้าผมไปกัน 6 คน ต่ำๆต้องมี 50 ยูโรต่อมื้อครับ เราจึงทานข้างนอกเฉพาะมื้อกลางวันที่ไปเที่ยว ส่วนมื้อเช้าและเย็นเราเลือกที่จะซื้อของตาม ซุปเปอร์มาร์เก็ตไปทำกินกันเอง มื้อหนึ่งกินกัน 6 ชีวิต ไม่มีเกิน 10 ยูโรครับ ประหยัดไปแค่ไหน ลองคูณส่วนต่างกับจำนวนมื้อสิ เหลือเงินเพียบเลย
ต่างประเทศก็เหมือนประเทศไทยครับ ถ้าคุณกินอาหารตามร้านย่อมแพงกว่าซื้อของจากตลาดไปทำเอง เนื่องจากเราเตรียมพวกเครื่องปรุงที่จำเป็นมาจากประเทศไทยแล้ว เราก็ขาดแค่ของสดเท่านั้น ไปสอยมาตาม Supermarket ถูกมากครับ
ยิ่งประเทศเช็ก ข้าวของที่นี่แทบจะราคาแพงกว่าไทยนิดเดียวเอง
ตัวอย่างเช่น เนื้อไก่ 500กรัม ราคา 39.90 CZK หรือเท่ากับ 64 บาท
ไข่ไก่แผง 30 ฟอง แผงละ 83.9 CZK หรือเท่ากับ 135 บาทเอง
ส่วนสตอเบอรรี่นี่ถูกกว่าไทยเยอะครับ ถาดใหญ่กว่าลูกแตงโม แค่ 200 บาท อร่อยด้วยอ่ะ สุดยอด
เบียร์ยิ่งถูกครับ กระป๋อง 500 ml แค่ไม่ถึง 35 บาท
อยากหยิบอะไรหยิบครับ มาเที่ยวทั้งทีกินกันตามใจ แต่ราคาไม่มีให้ฝรั่งมาฟันนะครับ ราคาซุปเปอร์ในเช็กและฮังการีจะถูกกว่า เยอรมันและออสเตรียนะครับ
ครอบครัวผมโชคดีที่พกแม่ครัวมือฉมังไปด้วยถึง 2 คน คุณแม่ยายและคุณศรีภรรยา รับหน้าที่ทำอาหารมื้อเช้าและเย็น ให้เรากินตลอด 14 วัน
เราห่างบ้านห่างเมืองมา หากต้องกินเบอร์เกอร์ 14 วัน ผมคงขาดใจตายครับ
แต่วิธีนี้ ทั้งครอบครัวได้กินอาหารไทยอร่อยๆทุกวัน อร่อย แถมประหยัดสุดๆครับ
สำหรับคนที่ทำอาหารไม่เป็น คุณสามารถใช้วิธีเดียวกันคือไปซื้ออาหารกึ่งสำเร็จรูปมาทำกินเองง่ายๆ ก็ช่วยประหยัดได้เยอะอย่างแน่นอนครับ
มาคุยกันถึงเรื่องที่พักบ้างดีกว่า ที่พักที่เราเลือกจะเป็นแบบ อพาร์ทเมนต์ 2 ห้องนอนทั้งหมดครับ และต้องมีที่นอนครบ 6 คนให้นอนกันสบายๆ มีห้องรับแขกกว้างๆไม่อึดอัดด้วย โดยสามารถเลือกจองได้เลยจากเว็บต่างๆ เช่น Booking.com ราคาก็ไม่แพงครับ คืนละ 3,000-6,000 บาทแล้วแต่สถานที่ ถ้าเป็นเมืองใหญ่ก็จะแพง แต่ถ้าเมืองชนบทหน่อยจะถูกมากครับ ที่พักแบบนี้อยู่ได้ 2 ครอบครัวสบายๆ
และสำหรับใครที่เช่ารถเที่ยว เคล็ดลับความประหยัดอีกอย่างคือ เช่าที่พักที่นอกตัวเมืองหน่อย แล้วขับรถไปเที่ยวเอา ที่พักจะประหยัดและอลังการแบบผมครับ
ภาพนี้บ้านที่ Hallstatt ครับ ใหญ่มาก ไม่มีเดินชนกัน
ต้องมีครัวพร้อมอุปกรณ์ทำอาหารครบชุด เพื่อทำอาหารเอง
ครัวยุโรปส่วนใหญ่เป็นเตาไฟฟ้าครับ เค้ามีตู้เย็น เตาไมโครเวฟ เครื่องล้างจานให้ครบครับ ไม่ต้องกังวลเลย อุปกรณ์พร้อมมากๆ
ภาพนี้เป็นครัวที่ Vienna ครับ
ภาพห้องนอนที่พักที่ Innsbruck
ห้องน้ำที่พักที่ Cesky Krumlov
ทำไมต้องขับรถเที่ยว? หลังจากผมวางแผนการเดินทางเสร็จ ผมค้นพบเลยว่าไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้ เนื่องจากการเดินทางด้วยรถไฟจะบังคับให้พวกเราจำเป็นต้องแบกสัมภาระ กระเป๋าใบใหญ่ ซึ่งผิดกับโจทย์ของพวกเราแต่แรก การเช่ารถขับจึงตอบโจทย์เรามากกว่า เนื่องจากเราสามารถเก็บสัมภาระต่างๆท้ายรถได้ เวลาเข้าที่พักผมแนะนำให้เตรียมกระเป๋าใบเล็กๆถ่ายของจากกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นไปที่พักครับ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบกกระเป๋าขึ้น-ลง
การเตรียมตัวไปขับรถที่ยุโรป ต้องไปทำใบขับขี่สากลที่กรมการขนส่งทางบก หากมีใบขับขี่อยู่แล้ว ใช้แค่ใบขับขี่และบัตรประชาชน เสียค่าธรรมเนียม 500 บาท อีกอย่างที่จำเป็นอย่างมากคือ GPS ครับ ซึ่งโดยทั่วไปสามารถเช่าได้จากผู้ให้เช่ารถได้เลย แต่ค่าเช่าแพงครับ เรียกว่าถ้าเช่าหลายๆวันแบบผม นี่ค่าเช่าซื้อเครื่องใหม่ได้เลย ตัวผมเองก็มี GPS ที่ไทยอยู่แล้ว ก็เลยไปหาแผนที่ยุโรปโหลดเข้าเครื่อง ปกติต้องซื้อแผนที่นะครับ แต่ถ้ามีวิชาก็ใช้ยาแก้ไอ Crack แผนที่เข้าเครื่องเลย (ไม่ขอเล่าวิธีนะครับ ลองศึกษาเพิ่มเติมดูครับ)
การเช่ารถ ผมเช่าจากเว็บนี้ครับ http://www.vipcars.com/ เท่าที่หามาเว็บนี้ถูกสุดแล้ว เวลาเราเลือกรถถ้าไปกันหลายคนหลายวัน ต้องเผื่อที่ให้สัมภาระด้วยนะครับ ไม่งั้นใส่กระเป๋าใบใหญ่ไม่พอนะครับ ถ้าไป 7 คนก็ต้องเผื่อไป 9 ที่นั่งเลย และถ้ามีเด็กไปด้วย ตามกฎหมายที่ยุโรปเด็กๆต้องมี Car seat ด้วยนะครับ
ทริปนี้เราใช้รถ Opel Vivaro รถตู้ 9 ที่นั่ง กว้างนั่งสบายๆ แถมด้านหลังจุของได้เพียบครับ
ราคาน้ำมัน ประเทศ Austria ถูกที่สุดครับ ดีเซลอยู่ราวๆ 1.3-1.4 ยูโรต่อลิตร ประเทศอื่นๆก็ไล่เลี่ยกันครับ แต่ก็แพงกว่าเล็กน้อย
การขับรถในยุโรป ผมเกิดมาเพิ่งเคยขับรถพวงมาลัยซ้ายเป็นครั้งแรกเลย แม้จะขับรถที่กรุงเทพมาหลายปีแล้ว แต่พอไปขับพวงมาลัยซ้าย มันจะมึนงงมากๆ ทั้งการควบคุมรถ และถนนที่กลับด้านกัน แนะนำให้เมื่อรับรถให้ขับวนเล่นๆในที่จอดรถเพื่อปรับตัวก่อนสัก 10 นาที ก่อนออกถนนใหญ่ครับ แรกๆมันจะไปกินเลนขวาครับ ต้องค่อยๆปรับสภาพกันไป แต่พอขับไปหลายๆวันจะชินไปเอง แต่เวลากลับมากรุงเทพก็มาปรับตัวกันอีกรอบ 5555
Speed Limit ของที่ยุโรป ก่อนไปได้ยินกิตติศัพท์ถึงความโหดของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นกล้องจับความเร็ว หรือตำรวจที่คอยยิงปืนจับความเร็วตามท้องถนนต่างๆ ค่าปรับก็มหาโหดครับ ยังไงแล้วควรทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดครับ
วิ่งในเมือง ไม่เกิน 50 กม./ชม. บางที่ตามตรอกซอกซอยในเมืองจำกัดที่ 30 กม./ชม.ก็ยังมี ถนนนอกเมืองไม่เกิน 100 กม./ชม. ถนนไฮเวย์ไม่เกิน 130 กม./ชม. มีบางช่วงก็ห้ามเกิน 70 หรือ 80 ก็มีนะครับแล้วแต่ช่วงครับ
ข้อดีของการขับรถเที่ยวในยุโรปอีกอย่างคือ ภูมิประเทศที่ยุโรปสวยงามมากครับ ถ้าเรานั่งรถไฟอาจจะไม่เห็นทิวทัศน์ต่างๆได้ดีเท่าขับรถเที่ยวเอง
ช่วงที่ขับรถอยู่ในออสเตรีย หิมะตกลงมา พวกเราก็จอดรถลงมาเล่นหิมะกันเลย
ซึ่งถ้านั่งรถไฟคงไม่สามารถลงมาเล่นแบบนี้
การจอดรถ
โดยปกติแล้วหากไม่ใช่ใจกลางเมือง จะสามารถจอดได้ฟรีครับ ยกเว้นเราเข้าไปเมืองใหญ่ๆอย่าง มิวนิค หรือ เวียนนา ต้องเสียค่าจอดครับ โดยอัตราก็แตกต่างกันไป บางที่ก็จะมี Garage หรือที่จอดให้เลย หรือบางครั้งก็ต้องจอดริมถนน อย่างเวียนนาแพงสุดๆครับ ชม.ละ 2 ยูโรครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องไปกดตู้เพื่อเอากระดาษมาวางหน้ารถ หรือที่พิเศษหน่อยคือที่เวียนนา ต้องไปซื้อใบกระดาษจอดรถมาจากร้านขายบุหรี่มาเขียนวางหน้ารถ ขอเตือนไว้เลยว่าตำรวจโหดมาก มีคนมาคอยตรวจตลอด ถ้าเราผิดกฎเค้ามีเจอใบสั่งแน่นอนครับ แต่ส่วนใหญ่วันเสาร์-อาทิตย์จอดฟรีครับ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกส่วน ที่เป็นก้อนใหญ่มากคือ ตั๋วเครื่องบินครับ โดยปกติค่าโดยสารจะอยู่ราวๆ 3-4 หมื่นบาท แต่ถ้าเราวางแผนล่วงหน้า รอคอยเวลาที่เหมาะสม คุณจะได้โปรโมชั่นจากสายการบินต่างๆ ในราคาประมาณ 27,000-30,000 บาท
ส่วนตั๋วที่ผมไป มีโปรของ Ukraine International Airline บินไปลงปรากแค่ 23,000 บาทเท่านั้น จังหวะนั้นผมไม่คิดมากเรื่องความสะดวกสบายเท่าไหร่หละครับ ขอถูกหน่อย งบที่เหลือเอาไว้เดินทางจะดีกว่า
แต่อย่างว่าแหละครับ สายการบินประหยัดก็ไม่มีอะไรให้เลย PTV ไม่มีครับ อาหารแย่เล็กน้อย ทนหลับๆไปเดี๋ยวก็ถึง 6 คนประหยัดไปหลายหมื่นครับ
เริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่านะครับ เริ่มจากเมืองแรกที่เราไปเยือนเลย Prague ปราก
วิธีเข้าเมืองจากสนามบิน
การเดินทางไปยังปรากนั้นสามารถเดินทางได้ทั้งเครื่องบินและรถไฟ หากเดินทางด้วยเครื่องบินจากไทยจะมาลงที่ Prague Airport ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง ถึงแม้ว่าปรากจะมีระบบขนส่งทางรถไฟและรถไฟใต้ดิน (Metro) แต่ว่าระบบขนส่งทั้ง 2 ไปไม่ถึงสนามบิน ดังนั้นการเดินทางจากสนามบินไปสู่ใจกลางเมืองนั้นสามารถทำได้โดยรถบัสและ Airport Express Bus เท่านั้น
รถบัสให้บริการจากสนามบินไปยังกลางเมืองอยู่หลายสายดังนี้
- สาย 119 ให้บริการทุกๆ 5 – 20 นาที โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Metro สาย A สถานี Dejvicka ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
- สาย 100 ให้บริการทุกๆ 15 – 30 นาที โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Metro สาย B สถานี Zlicin ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
- สาย 225 ให้บริการไปจนถึง Metro สาย B สถานี Stodulky ใช้เวลาประมาณ 40 – 55 นาที
- สาย 179 ให้บริการทุกๆ 12 – 30 นาที โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Metro สาย B สถานี Nove Butovice ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
- สาย 510 ให้บริการเฉพาะตอนกลางคืน (24.00 – 03.30) เท่าั้นั้น โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Tram Stop Stodulky ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
การเดินทางโดยรถบัสสาย 119 และ 100 น่าจะเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด หากต้องการเดินทางเข้าสู่กลางเมืองสาย 119 น่าจะสะดวกกว่า ในขณะที่สาย 100 จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปด้านตะวันตกของเมือง
ตั๋วโดยสารนั้นจะมีขายที่ร้านค้าหรือว่า Transportation Counters ที่ Terminal 1 และ 2 ช่วงเวลาประมาณ 07.00 – 22.00 หากมาถึงสนามบินในช่วงเวลาที่ร้านปิดต้องไปซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ซึ่งตั้งอยู่ที่ป้ายรถบัสด้านหน้าของสนามบิน (ถ้าจำไม่ผิดเครื่องจะไม่ทอนเงินในกรณีที่จ่ายเกิน) หรือซื้อกับคนขับรถซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รับแบงค์ใหญ่ เนื่องจากไม่มีทอน
ในส่วนของ Airport Express Bus นั้นจะมีให้บริการทั้งที่ Terminal 1 (Exit D) และ 2 (Exit E) โดยจะมีเส้นทางวิ่งผ่านทั้งสถานนี Metro และสถานีรถไฟ ดังนี้ Metro สาย A สถานี Dejvicka -> Masarykovo Train Station -> Main Train Station (Hlavní nádraží) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ค่าโดยสารจะแพงกว่ารถบัสปกติเล็กน้อย
แต่ถ้าเดินทางมาเป็นแบบครอบครัวแล้วไม่ต้องการแบกกระเป๋า เลือกวิธีแบบผมเลยครับ จองรถตู้ส่วนตัวไปส่งที่โรงแรมเลย เค้าคิด 25.3 ยูโร หรือประมาณ 1,130 บาท แพงกว่าแต่ส่งถึงหน้าโรงแรม ไม่ต้องแบกกระเป๋าครับ
https://www.prague-airport-transfers.co.uk/zakaznik/index.php?sekce=cesta&id_objednavky=&cesta[typ_objednavky]=transfer_z_letiste
สะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge)
เป็นสะพานเก่าแก่สไตล์โกธิกที่ทอดข้ามแม่น้ำวัลตาวาที่เชื่อมระหว่าง Old Town และ Little Town สะพานสร้างในปี 1357 ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 มาเสร็จสมบูรณ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 มีความยาว 520 เมตร กว้าง 10 เมตร มีตอม่อค้ำยัน 16 ตอ จุดเด่นของสะพานนี้ก็คือรูปปั้นโลหะของเหล่านักบุญสไตล์บารอกที่ตั้งอยู่สองข้างสะพานราว 30 องค์ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มีรูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (St. John Nepomuk) เป็นรูปปั้นที่เก่าแก่ที่สุดบนสะพาน สร้างเมื่อปีค.ศ. 1683 สะพานแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของกรุงปราก
เวลาอยู่เมืองไทยเวลาเจอแดดส่องมาต้องรีบหลบ แต่ที่นี่เจอแดดต้องรีบวิ่งเข้าใส่ครับ แดดอ่อนๆยามเช้าที่นี่ แปลกดีครับ เพราะนอกจากจะให้ความอบอุ่นแล้ว ยังมอบความสุขให้กับคนที่ยืนรับแสงด้วยครับ
หอคอยสะพาน Stare Mesto Bridge Tower
ผมเหม่อมองดูผู้คนเดินข้ามสะพาน Charles Bridge คนแล้วคนเล่า ยืนทอดอารมณ์อยู่ตรงจุดนี้เนิ่นนาน ถึงจะเป็นมุมเดิมๆ แต่ก็แปลกที่ไม่รู้สึกเบื่อสักเท่าไหร่
เรือล่องแม่น้ำวัตตาวา (Vltava) ผ่านสะพานไปเป็นระยะๆ ฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืดลง Prague Castle เริ่มเปิดดวงไฟทำให้ตัวปราสาทยิ่งเด่นชัดขึ้นมาทันใด
เปิด 10.00-22.00 น.
ค่าขึ้น 75 CZK
คุณเคยมีความฝันร่วมกับใครมั้ยครับ?
ผมเองตั้งแต่เด็กฝันไว้หลายเรื่อง แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาโดยตลอด คือการได้เดินทางไปยังสถานที่สวยๆต่างๆทั่วโลก
เป็นโชคของผมที่ภรรยาคู่ชีวิตของผมก็มีความฝันอย่างเดียวกัน เราพยายามสร้างสมดุลระหว่างการทำงาน การวางแผนอนาคตให้ลูกๆและครอบครัว รวมทั้งการทำความฝันให้เป็นจริง
หลายครั้งเหลือเกินที่ความฝันดูจะไกลห่างออกไป เนื่องจากภาระกิจต่างๆที่รัดตัว แต่ทุกครั้งที่มีโอกาส ผมจะพาครอบครัวออกตามความฝันของผมเสมอ
ถึงเวลานี้ผมกับภรรยายังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากกว่าจะได้เริ่มต้นทำความฝันให้เป็นจริง ก็ถึงวัยกลางคนเสียแล้ว (แม้จะคิดว่าตัวเองวัยรุ่นอยู่ก็เถอะ) ยังมีสถานที่ต่างๆรอบโลกที่เป็นความฝันในการไปเยือน และผมไม่แน่ใจนักว่าเราทั้งคู่จะทำสำเร็จมั้ย
แต่ที่แน่ใจเหลือเกินคือ ลูกๆของผมทั้งสอง น้องเกรซ น้องกาย เกิดมาเป็นนักเดินทางตัวยง สองคนนี้เริ่มต้นเดินทางตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ นั่งเครื่องบินมานับครั้งไม่ถ้วน ได้ออกเดินทางตามความฝันของพ่อแม่ไปด้วยกัน และทั้งคู่ก็ชอบการเดินทางเสียด้วย
ผมก็ได้แต่หวังไว้ว่า แม้ผมจะทำความฝันของผมไม่สำเร็จ แต่เชื่อเหลือเกินว่ามันต้องสำเร็จได้ในรุ่นของลูกๆทั้งสองแน่ๆ
พ่อและแม่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ความฝันของหนูทั้งสองจะเหมือนกับพ่อและแม่มั้ย แต่ไม่ว่าอะไรที่เป็นความฝันของหนู พ่อและแม่สัญญาว่ามันจะยังเป็นความฝันร่วมกันของพ่อและแม่เสมอนะ
ฝันไปด้วยกัน ทำมันไปด้วยกัน
Let’s Dream Together… Because It’s a Family Dream.
วิวริมแม่น้ำนี่แหละสุดยอดมาก
พ่อตาแม่ยายผมหวานออกสื่อหน่อยนะ
Kostel svatého Františka z Assisi อยู่ปลายสะพานด้านเมืองเก่า
Old Town Hall Tower
ทีเด็ดของที่นี่คือ นาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) โดยทุกๆชั่วโมง นักท่องเที่ยวจะมาคอยดูนาฬิกาเรือนนี้ เพราะจะมี Activity เล็กๆคือ ตุ๊กตาหุ่นอัครสาวกทั้ง 12 องค์จะเริ่มออกมาเต้นรำ ว่ากันว่านาฬิกาเรือนนี้จะหยุดเดินทุกครั้งที่มีเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองปราก เช่น การปฏิวัติครั้งใหญ่ของปราก
เปิดให้ขึ้นไปชม 9.00-20.00 น.
ค่าขึ้นไปชม 105 CZK
จัตุรัสเมืองเก่า Staromestske Namesti
ถือเป็นสถานที่บังคับที่ใครมาปรากแล้วต้องมาเดินเที่ยวกันที่นี่ ไม่งั้นเรียกว่ายังมาไม่ถึงปราก ที่เห็นโดดเด่นกว่าใคร ก็คือ Church of Our Lady Before Tyn หรือ โบสถ์แม่พระ
วิวมุมสูงที่มองจากหอคอย Old Town Hall สุดยอดมาก ห้ามพลาดมุมนี้เด็ดขาดนะครับ
ช่วงที่ผมไปตรงกับเทศกาล Easter เลยมีตลาดนัดมาขายกันตรงจัตุรัสเมืองเก่า ผู้คนมาเดินเล่นเยอะไปหมดเลย บรรยากาศคึกคักไม่น้อย
เอ้า แบบนี้มันต้องกระโดดถ่ายรูปให้ฝรั่ง งงไปเลย
ปราสาทปราก Prague Castle
ปราสาทแห่งกรุงปรากเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุด และเป็นจุดสำคัญที่สุดของทั้งเมือง เปรียบดั่งว่าเป็นอัญมณีที่ล้ำค่าแห่งเมืองหลวงของเช็ก ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์อันเก่าแก่ของแผ่นดินเช็ก ส่วนประกอบต่างๆของตัวปราสาททั้งหมดตั้งอยู่บนยอดเนินเขาและลดหลั่นลงมาจนถึงชายฝั่งด้านซ้ายของแม่น้ำวัลตารา (Vltava River) ตัวปราสาทอาจดูไม่เหมือนปราสาทแบบดั้งเดิมเป็นเพราะจากกรสร้างที่ได้กระจายออกไปตามแนวราบมากกว่าแนวตั้ง
เวลาเปิด 6.00-23.00 น. หน้าร้อน 5.00-24.00 น.
มหาวิหารเซนต์วิตัส แคทเทอร์ดรอล (St Vitus cathedral)
สิ่งที่ดึงดูดและสะดุดตาสำคัญๆ ต่อนักท่องเที่ยวคือมหาวิหารเซนต์วิตัส แคทเทอร์ดรอล (St Vitus cathedral) มหาวิหารหลังนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยศัตวรรษที่ 14 เป็นการสร้างแบบสถาปัตยกรรมโกธีก (Gothic) ที่ได้ตกแต่งประดับประดาไปด้วยหัวสัตว์ประหลาดมากมายที่ทำด้วยหินตั้งอยู่บนหลังคาและปากท่อรางน้ำฝน
Toy Museum
รอบปราสาทมีอะไรให้ชมมากมาย แต่ที่ดึงดูดใจเด็กๆมากที่สุดคือ พิพิธภัณฑ์ของเล่น เค้าจัดแสดงของเล่นไว้เยอะมากเลย
ค่าเข้าชม 100 CZK
ถ่ายภาพกับ Superman หน่อย
จุดชมวิวแม่น้ำที่สวยที่สุดของเมืองปราก ผมว่าคือที่นี่ครับ สวนสาธารณะ Letenské sady ตรงจุดนี้สามารถมองเห็นวิวเมืองผ่านโค้งแม่น้ำวัตตาวา สวยสุดๆครับ