web analytics
เตรียมลูกไปโรงเรียนอนุบาล,เตรียมลูกไปโรงเรียน,
ติดตามพวกเราบน Facebook

การเตรียมตัวที่หม่าม๊าจะพูดถึงก็เป็นตามสไตร์ของหม่าม๊าสุดโหดนั่นแหล่ะค่ะ ถามว่าเตรียมทำไมแค่ลูกไปโรงเรียนยังไงครูก็มีหน้าที่ดูแล ใช่ค่ะครูมีหน้าที่ดูแลแต่เด็กตั้งเยอะเค้าคงดูแลได้ไม่ทั่วถึงสักเท่าไร คาดหวังมากเกินไปว่าครูจะใส่ใจลูกเราเต็มที่ เกรงจะผิดหวังค่ะ (ถึงจะคัดกรองโรงเรียนมาแล้วเป็นอย่างดีก็ตาม) ควรจัดระบบชีวิตลูกล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ จัดตารางเวลาให้คล้ายๆกับการไปโรงเรียนค่ะ เด็กแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน ฉะนั้นระยะเวลาก็ปรับตามพฤติกรรม ลักษณะนิสัยของลูก

เมื่อคุณพ่อ-คุณแม่สรรหาโรงเรียนที่ถูกใจ ตรงตามความต้องการ ลงตัวที่สุดสำหรับทุกคนในครอบครัวแล้ว เรามาเตรียมตัวลูกเพื่อไปโรงเรียนกันเถอะค่ะ เด็กไปโรงเรียนต้องห่างจากคุณพ่อ-คุณแม่ ปู่ย่า ตายาย ไปอยู่กับคนแปลกหน้าเค้าไม่รู้จัก ท่ามกลางเด็กอื่นๆ ที่ไม่รู้จัก และร้องโยเย ประสานเสียงใสแสบแก้วหู แน่นอนลูกๆของเราต้องเป็นหนึ่งในสมาชิก วงเสียงใส หรืออาจจะไม่ร้องเลยก็ได้ เท่าที่หม่าม๊า สอบถามดูแล้วนำมาบวกลบคูณหารกัน เด็กที่ปู่ย่า ตายายเลี้ยงนั้นจะร้องเพียงไม่กี่วันเท่านั้น(ส่วนมากนะคะ ไม่ใช่ทั้งหมด) แต่เด็กที่คุณพอ่ คุณแม่เป็นผู้เลี้ยงเองอันนี้จะร้องหลายวันหน่อย(แต่บางคนไม่ร้องเลยก็มี) ส่วนเจ้าแสบของหม่าม๊าหรอคะ ฮ่าๆๆ ไม่อยากจะอวยลูกตัวเอง ที่สุดอ่ะค่ะ 1 เดือนเต็ม จากร้องนานๆ ก็ลดระยะเวลาลง เหลือเพียงร้องเป็นพิธี 10 วินาที(เพื่ออ้อนหม่าม๊า) สะบัดเปียเข้าห้อง เงียบกริบ เล่นกับเพื่อนไป

มาม๊ะ มาเตรียมตัวเลยจ้า

1.เตรียมตัว เตรียมใจพ่อแม่

เด็กไปโรงเรียนช่วงแรกร้องโยเยแน่นอนให้เตรียมใจไว้ก่อนเลยนะคะ จากนั้นเรามีหน้าที่แนะนำพูดคุยกับลูกถึงเรื่องโรงเรียนที่เค้าจะไป คุณครูใจดีรักเด็ก เพื่อนๆเล่นกันสนุก มีของเล่นมากมาย เป็นต้นค่ะ วันที่เจ้าแสบไปโรงเรียนวันแรกเนี่ยหม่าม๊านี่ตื่นเต้นสุดๆ เจ้าแสบดูจะไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไรนัก แต่พอไปถึงโรงเรียน ถึงกับ ตะลึง ตะลึง กันเลย น้ำตาแตกทั้งหม่าม๊าและเจ้าแสบ เจ้าแสบร้องไห้ปานจะขาดใจ เสียงตะแบงออกจากคอของเจ้าแสบ มันบาดหัวใจเหลือเกิน ขาแทบจะไม่มีแรงยืน นี่เราเอาลูกมาทรมารหรืออย่างไร ร้องขนาดนี้จะเจ็บคอไหมลูก อยากจะวิ่งเข้าไปหาแล้วอุ้มลูกกลับบ้าน ได้แต่ข่มใจว่า ลูกจะค่อยๆปรับตัวได้ แถมช่วงเปิดเทอมนี่จะได้เห็นภาพคุณพ่อคุณแม่ก้มๆ เงยๆ ดูลูกกัน แอบซ่อนตาม ซอกตึก เกาะอยู่ริมหน้าต่าง บ้างก็เอากล้องวีดีโอส่องที่กระจกแล้ว มองดูลูกผ่านจอสี่เหลี่ยม คงคิดว่าลูกจะจำเราไม่ได้ แค่เห็นศรีษะแว๊บเดียวก็รู้เลยว่า ใคร แอบเม๊า(แม่สามี) นานๆเค้าเจอกันทีเนื่องจากคุณย่าอยู่ต่างจังหวัด คุณย่าไปรับเจ้าแสบหลังเลิกเรียน โดยที่เข้าแสบก็ไม่ได้รู้ตัวว่าคุณย่าเค้าจะมา แอบมองโดยย่อตัวลง ให้ดวงตา เสมอขอบหน้าต่าง เจ้าแสบตะโกน สุดเสียง คุณย่า ย่า ย่า ย่า ย่า ย่า ย่า ( เอ๊คโค่เยอะไปไหม ) เห่อๆ บอกแล้วว่า จำได้อ่าเนอะ

1-เตรียมลูกไปโรงเรียน

2.ประกันสุขภาพ

คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจะมีไว้ให้ลูกแล้วตั้งแต่แรกเกิด แต่บางท่านก็ยังมิได้มีไว้ ฉะนั้นก็มีประกันสุขภาพไว้สำหรับลูก สัก 1 ฉบับก็ยังดีค่ะ จะซื้อแบบไหนขึ้นอยู่กับงบประมาณของผู้ปกครอง หลักง่ายๆคือ ซื้อประกันสุขภาพให้พอกับค่าห้องของโรงพยาบาล สอบถามตัวแทนว่าคิดค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการพยาบาลอย่างไรบ้าง (เวลาแอดมิดจะได้ไม่ปวดใจกับค่ารักษาพยาบาล หรือ ส่วนเกินต่างๆ ) ประกันสุขภาพจะมีระยะเวลารอคอยการเจ็บป่วยอยู่ 30 วัน เด็กเล็กๆจะป่วยบ่อยเมื่อไปโรงเรียน มีประกันสุขภาพไว้อุ่นใจที่สุด โรงพยาบาลเอกชนแอดมิดคืนละ ประมาณ 10,000 บาท++ ช่วงแรกเกิด ถึง 6 ขวบ เบี้ยจะสูง หลัง 6 ขวบแล้วเบี้ยจะลดลงเกือบครึ่ง ค่ะ
ปล.ว่างๆจะหาข้อมูลมาฝากนะคะ แอบบอกนิดหนึ่ง หากป่วยแล้วไปซื้อประกันสุขภาพเนี่ยมักจะโดนปฏิเสธหรือไม่ก็โดนยกเว้นโรคบางโรคจะไม่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล หรืออาจจะโดนเพิ่มเบี้ยเป็นรายบุคคล

เตรียมลูกไปโรงเรียนอนุบาล,เตรียมลูกไปโรงเรียน,

3.จัดตารางชีวิตประจำวันของลูก         

สำหรับหม่าม๊าเริ่มจาก ปรับการนอนของลูก นอนให้เร็ว ตื่นให้พอดี (ไม่ต้องเช้ามากแบบ ตีสี่ ตีห้าเด็กที่ตื่นช่วง แบบนี้ช่วง 8-9 โมงเค้าจะไปง่วงนอนที่โรงเรียนทำให้เค้าทำกิจกรรมกับเพื่อน เรียนกับครู ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ) เข้านอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา บางบ้านต้องขึ้นรถตู้โรงเรียน บางบ้านจะเป็นบ้านแรกที่รถตู้มารับ (06.00+) ซึ่งต้องงัดลูกแต่เช้าเลย รีบจัดการอาบน้ำแต่งตัว ไหนคุณพ่อคุณแม่ต้องมาทำอาหารเช้าอีก จัดการตัวเองเพื่อไปทำงานอีก โอ้ววว วุ่นอะไรขนาดนนี้   หากบ้านไหนมี 2 แสบ ก็ต้องยกำลัง 2 เข้าไปอีก หุหุ (หม่าม๊าขอมีคนเดียวก่อน ยังมิพร้อม) ยกตัวอย่างของหม่าม๊า อยู่กันแบบ 3 คน พ่อแม่ลูก หม่าม๊าเป็นแม่บ้าน ป่าป๊าทำงาน เจ้าแสบไปโรงเรียนมาดูกันเล๊ยจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

06..30      ปลุกเจ้าแสบ หรือเจ้าแสบอาจจะปลุก หม่าม๊ากับป่าป๊า รีบอาบน้ำอาบท่า
06.45       เสริฟอาหารรองท้องให้เจ้าแสบ อาทิ ขนมปังสารพัดจะทาหน้าต่างๆ รูปต่างๆให้เจ้าแสบจัดการเอง

07.00       หม่าม๊า-ป่าป๊าจัดการตัวเองเสร็จเจ้าแสบ อิ่มพอดี อ่านนิทานให้เจ้าแสบฟัง (15-30 นาที)

(บางวันเจ้าแสบก็เล่น Wii ก่อนไปโรงเรียน หรืออาจจะเล่นแป้งโดว์/ของเล่น)

07.30       ออกจากบ้านไปส่งเจ้าแสบที่โรงเรียน
07.45       ถึงโรงเรียนเจ้าแสบแล้วจ้า( หม่าม๊าเล่นกับเพื่อนๆเจ้าแสบบ้างในบางวัน)

08.00       เจ้าแสบทานข้าวเช้าที่โรงเรียน (เหมาอาหารเช้าที่โรงเรียนเป็นรายเทอม) หม่าม๊าก็กลับบ้าน

……………………………….   เจ้าแสบก็เรียนไป เล่นไป หม่าม๊าก็ทำงานบ้านไป   …………………………………

15.15       เดินทางไปรับเจ้าแสบที่โรงเรียน รอเจ้าแสบเรียนพิเศษ เล่นกับเพื่อนๆสักนิดสักหน่อย

…………………..            ช่วงเวลาหลังเลิกเรียน เวลาจะหยวนๆกับเจ้าแสบบ้างค่ะ ………………………………………..

16.00       หม่าม๊าแวะตลาดหากับข้าวกับปลาให้เจ้าแสบและป่าป๊า

16.30       เจ้าแสบถอดรองเท้าเก็บเข้าที่ ล้างมือ เปลี่ยนชุดนักเรียน((ด้วยตนเอง))

16.40       ทานข้าวเย็น (ส่วนมากเจ้าแสบ ทานข้าวเหนียว ดั้งเลยไม่มี)

17.00       ทำการบ้าน (เสร็จเร็วบ้างช้าบ้าง เวลาก็จะลดลั่นกันไป)

17.20       ทานของว่าง ผลไม้ ขนมปัง ต่างๆ นม ให้พักผ่อน ตามอัธยาศัยเช่น ดูการตูน อ่านนิทาน ออกไปเล่นกับเพื่อน ขี่สกู๊ตเตอร์ ปั่นจักรยาน

ไปเล่นสนาม เล่นแทรมโพลีน รดน้ำต้นไม้ ช่วยงานบ้านหม่าม๊าบ้าง

19.00       การ์ตูฯโปรดช่องดิสนี่ย์ ช่วงเวลานี้จะทานขนมปัง นม อาจจะทานข้าวอีกรอบ(นิดหน่อย)

19.30       อาบน้ำ อ่านนิทาน

20.00       ได้เวลานอนแล้ว ปล่อยให้เค้านอนเองค่ะ จะได้ มีเวลาส่วนตัวของเค้าไป

เวลาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมบางวันเจ้าแสบก็ดึงเวลาให้มากกว่า 20.00 บ้างแต่พยายามจะไม่เกิน 21.00

เตรียมลูกไปโรงเรียนอนุบาล,เตรียมลูกไปโรงเรียน,

4.ฝึกให้ลูกช่วยเหลือตนเองขั้นพื้นฐาน

4.1 การทานอาหาร ฝึกให้เค้าทานข้าว นม และขนมเองโดยไม่ต้องป้อน ที่สำคัญการนั่งทานอาหารที่โต๊ะอาหาร มิใช่การเดินตามป้อนเค้า เพราะการไปโรงเรียนนั้นเด็กๆจะนั่งทานกันที่โต๊ะอาหารแบ่งเป็นกลุ่มๆบ้างหรือนั่งเรียงแถวยาว ฝึกการใช้ช้อน แก้วน้ำ (บางโรงเรียนมีนโยบายใช้เป็นกระติกน้ำประจำตัวก็เลือกที่เปิดใช้สะดวกหน่อยค่ะ)หากเป็นแก้วน้ำก็ควรฝึกลุกให้ทานน้ำจากแก้วให้เป็น เรื่องเหล่านี้เด็กหลายบ้านทำได้นานแล้วอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางบ้านก็ยังมิได้สอนลูกเลยก็มีนะคะ หม่าม๊าแอบสังเกตว่า การมีกระติกน้ำประจำตัวนั้นเด็กจะทานน้ำระหว่างวันได้มากกว่าการใช้แก้วน้ำแล้วเวลาหิวก็ไปขอน้ำจากคุณครู(อ้างอิงจากสถานะการณ์ที่หม่าม๊าประสบเอง)

4.2 บอกความต้องการของตนเอง เช่น หิวน้ำ หิวนม หิวข้าว หม่าม๊าก็สอนเจ้าแสบตั้งแต่เล็กเลยมิเป็นปัญหา แต่ก็ฝึกเค้าให้เข้มข้นขึ้นก่อนไปโรงเรียนว่า ถ้าต้องการอะไร อยากได้อะไรให้บอกคุณครู แม้กระทั่งใครแกล้งหรือรังแกก็บอกครูพยายามย้ำให้เค้า ได้ซึมซับข้อมูลเหล่านี้ลงไป

เตรียมลูกไปโรงเรียนอนุบาล,เตรียมลูกไปโรงเรียน,

4.3 ฝึกขับถ่าย   สอนให้ลูกบอกได้ว่าตนเองต้องการปัสวะ หรืออุจระ ใช้คำง่ายๆกับเค้าแต่สุภาพภาพก็ได้ค่ะ (หม่าม๊าใช้ปวดฉี่ และปวดอึ่อี๊) ข้อนี้เจ้าแสบสอบผ่านไปเมื่อ 1 ปี 10 เดือน เลยไม่เป็นปัญหา นอกจากนนี้ก็สอนให้เค้าถอดเสื้อผ้า กางเกงหรือการถกกระโปรงเพื่อเข้าใช้ห้องน้ำ ให้เค้าได้หัดล้างทำความสะอาดเองบ้าง ข้อหนึ่งที่หม่าม๊าแอบพลาด ด้วยความที่หม่าม๊ามีเวลาดูแลเคาเต็มที่ มีเวลาสังเกตเค้าว่าต้องการเข้าห้องน้ำหรือไม่พอรู้ว่าเค้าอยากเข้ามีอาการก็พาเข้าห้องน้ำ พอไปโรงเรียนครูไม่มีเวลามนั่งสังเกตมากนัก แรกๆเจ้าแสบปวดฉี่แต่ห่วงเล่น เลยมีฉี่ราดที่โรงเรียนบ้าง จนครูแจ้งมา(สมัยเรียนเตรียมอนุบาล) ว่าน้องห่วงเล่น และเป็นเด็กที่ตั้งใจทำอะไรเป็นที่สุดจะทำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเข้าห้องน้ำ หม่าม๊าจึงกลับมาสอนเพิมเติมว่าเข้าห้องน้ำก่อนไม่ควรกลั้นไว้จะทำให้ปวดท้อง และไม่ไม่สบายได้นะคะจึงค่อยๆดีขึ้นใช้เวลาไม่มากสำหรับการสอนเจ้าแสบ
ปล.อย่าคาดหวังว่าครุจะชำระล้างก้นของลูกได้สะอาดหมดจด จะมีบ้างในบางวันที่เหลืองติดกางเกงชั้นในกลับมาบ้าน

4.4  การเลิกแพมเพิส     ข้อนี้ทางโรงเรียนจะช่วยเราหากเรายังไม่ได้เลิกแพมเพิส เราก็มีหน้าที่ช่วยกระตุ้นลูกอีกแรงให้บอกกิจธุระของตนให้ได้แล้วในที่สุดก็มิต้องใช้แล้วแพมเพิส(ประหยัดอีกแล้ว) จริงๆครูแทบจะไม่ได้ใช้วิธีขั้นเทพอะไร แค่ไม่ใส่ให้เท่านั้นเอง แล้ว พอถึงเวลาก็พาไปเข้าห้องน้ำ เด็กๆก็จะทำตามๆกัน นอกจากว่าหน้าฝน อากาศเย็น เด็กอาจจะเข้าห้องน้ำบ่อยครูก็จะใส่แพมเพิสไว้ก่อน แต่พอถึงเวลา ก็พาเข้าห้องน้ำ เหมือนกับว่า แพมเพิสคือ กางเกงชั้นใน จนในที่สุดเด็กก็ปรับตัวได้และไม่ใช้แพมเพิสในที่สุด

4.5    การแต่งตัว สอนให้เค้าใส่รองเท้านักเรียน รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ หรือแม้แต่เสื้อผ้าของเค้า ชุดนักเรียนบางชุดอาจจะใส่เองค่อนข้างลำบากเคยมาแล้วค่ะ ล้มลงกับพื้นเลยเจ้าแสบของแม่ ค่อยเป็นค่อยไปจ้า คุณครูเค้าฝึกเด็กให้ทำเองค่ะ มิต้องห่วง แต่ใส่เป็นไว้ก็ดีค่ะ จะยากก็ใส่กางเกงหรือกระโปรงนี่แหล่ะค่ะ วิธีให้เค้านั่งแล้วใส่วิธีนี้ง่ายต่อเด็กค่ะ

4.6   รู้จักข้อมูลของตนเอง หม่าม๊าใช้วิธีเล่าเป็นนิทานเกียวกับตัวเค้าเองให้ เค้าฟัง เช่น ชื่อสกุล ช่อเล่น ชื่อป่าป๊า หม่าม๊า(ชื่อสกุลจริงด้วยเลยค่ะ) บ้านเลขที่ หมู่บ้าน สถานที่ใกล้เคียง เบอร์โทรศัพท์ป่าป๊า เล่าเป็นนิทานสนุกๆๆ แรกๆอาจจะ มึนๆ อึนๆ เล่าไปเถอะค่ะ สักหน่อยเค้าจะจำได้ จะยากหน่อยก็ เบอร์โทรศัพท์ แรกๆเจ้าแสบบอกว่าเบอร์ศัพท์ของป่าป๊าคือ 12345678910นับซะครบเลย บางทีมี 11 12 ด้วยนะคะ เดี๊ยวนี้หรอ ไม่ต้องพูดถึงยังมึนเหมือนเดิม อะล้อเล่น …… ได้แล้วจ้า แต่ก็มึนๆบ้าง

ให้ลูกของเราได้ช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด หิ้ว/ลากถุงนอน ลากกระเป๋า ถือรองเท้าเพื่อเดินไปห้องเรียน ดูๆไปน่าสงสารจังเลยค่ะ ตัวก็เล็กของก็เยอะ แต่อยากให้เค้าแกร่ง หม่าม๊าก็ต้องปล่อยให้เค้าทำเอง หม่าม๊ามีหน้าที่เพียงทำให้เค้าดูในช่วงสัปดาห์แรกๆเท่านั้น เพื่อที่เค้าจะได้รู้ว่า เค้าจะต้องทำอะไรยังบ้าง

เตรียมลูกไปโรงเรียนอนุบาล,เตรียมลูกไปโรงเรียน,

5.เจ้าแสบหนูรอแป๊ปนึง
เรื่องการรอคอยหม่าม๊าแอบปลูกฝังลูกมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะไหนจะงานบ้าน ไหนจะลูก ไหนจะทำอาหาร พาเจ้าแสบไปเดินเล่นตอนเย็นๆ หม่าม๊าเป็นผู้บริหารเวลาเองทั้งหมด ซึ่งบางเวลาเราต้องลุกไปทำงานอื่นๆบ้างคงไม่ได้นั่งเฝ้าลูกทุกๆวินาที ก็กลายเป็นฝึกให้เค้ารอคอยเราไปในตัวแล้วล่ะค่ะ เวลาเด็กไปโรงเรียนครูก็มีหน้าที่งดูแลเด็กแต่เด้กจำนวนมากๆ บางคนอาจจรอไม่เป็นร้องโยเยก็มีค่ะ

6.หนูแบ่งเพื่อนบ้างได้ไหมคะ
เจ้าแสบชองหม่าม๊าเนี่ยจอมหวงที่สุดเลย ลูกคนเดียวน่ะค่ะ(หาเรื่องผลิตอีกสักคนดีไหมน๊อ) อะไรๆก็หวงแม้แต่กับป่าป๊าและหม่าม๊าก็ไม่เว้น ก็ค่อยๆปรับค่ะ ในที่สุดก็ดีขึ้นปัจจุบันไม่รอช้าที่จะแบ่งสิ่งต่างๆให้กับครอบข้าง แต่จะมีอยู่นิดหนึ่งคือเจ้าแสบไม่ชอบให้ใครแย่งขอจากมือเค้า หากอยากได้ก็บอหรือขอเค้าดีๆเค้าก็ให้แล้วล่ะค่ะ

เตรียมลูกไปโรงเรียนอนุบาล,เตรียมลูกไปโรงเรียน,

7.วินัย ต้นแบบทีดีอยู่ที่พ่อแม่

ดังสุภาษิตที่ว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ยังคงใช้ได้ดีนะคะ เราเองเป็นพ่อเป็นแม่จะประพฤติปฎิบัติอะไรก้พึงระวังเสมอๆ เด้กๆเรียนแบบได้เร็วเหลือเกิน เมื่อก่อนอยู่กับเพื่อน คำพุด กิริยาต่างๆ ศัพท์ต่างอาจจะพุดอยู่บ้างแต่พอมีลูกเนี่ยระวังเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าหลุดไหมหลุดบ้างค่ะ หม่าม๊าก็คนธรรมดาอ่าเน๊อะ แต่พยายามจะไม่กระทำการใดๆที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เจ้าแสบได้เห็น ถึงหม่าม๊าจะไม่ใช่ หม่าม๊าที่ดีที่สุดในทุกๆเรื่อง แต่หม่าม๊าก็จะพยายามทำทุกๆเรื่องให้มันดีที่สุด

ดังสุภาษิตที่ว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ยังคงใช้ได้ดีนะคะ เราเองเป็นพ่อเป็นแม่จะประพฤติปฎิบัติอะไรก้พึงระวังเสมอๆ เด้กๆเรียนแบบได้เร็วเหลือเกิน เมื่อก่อนอยู่กับเพื่อน คำพุด กิริยาต่างๆ ศัพท์ต่างอาจจะพุดอยู่บ้างแต่พอมีลูกเนี่ยระวังเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าหลุดไหมหลุดบ้างค่ะ หม่าม๊าก็คนธรรมดาอ่าเน๊อะ แต่พยายามจะไม่กระทำการใดๆที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เจ้าแสบได้เห็น ถึงหม่าม๊าจะไม่ใช่ หม่าม๊าที่ดีที่สุดในทุกๆเรื่อง แต่หม่าม๊าก็จะพยายามทำทุกๆเรื่องให้มันดีที่สุด

นอกจากนี้แล้วยังมีอีกหลายสิ่งที่เป็นเรื่องละเอียดละออ ปลีกย่อยอีกพอสมควรหม่าม๊าแถมท้ายด้วยการสอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังตนเอง เอาตัวรอด รู้หลบ รู้หลีก รู้ที่จะหนีหรือควรทำอะไร ยอมรับตามตรงว่สนอให้ลูกป้องกันตัวและเน้นย้ำเสมอว่าห้ามรังแกเพื่อน แต่ถ้าเพื่อนแกล้งหนูก็จัดการได้ตามความเหมาะสมหรือให้บอกคุณครู จะเดนจะวิ่งให้ดูทางดีๆ ขึ้นบันไดหรือทางต่างระดับก็พึงระวังหากทำไม่ได้ให้แจ้งคุณครู(บางโรงเรียน ชั้นอนุบาล 1 ห้องเรียนอยู่ชั้นสองของอาคารแอบดูอันตรายไปนิดนะคะ) หม่าม๊าสอนเจ้าแสบขึ้นลงบันไดด้วยล่ะ เกาะราวไว้ลูก หากตอนลงไม่มีราวหนูก็นั่งลงแล้วค่อยๆขยับตัวลงมา เวลาเล่นเครื่องเล่นกับเพื่อนให้ระวังเพื่อนผลัก ระวังตกจากสไลด์เดอร์ ที่สำคัญหากพื้นห้องน้ำเปีกหนูต้องระวังมากๆ เดินช้าๆ หากล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมา อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลนะคะ (เพื่อนๆเจ้าแสบล้มหัวาดพื้นมาแล้ว เพราะพื้นลื่น เนื่องจากมีพื่อนในห้องเปิดน้ำเล่นในห้องน้ำ แต่โชคดีที่น้องไม่เป็นอะไร)
สิ่งที่หม่าม๊าเขียนอาจจะไม่ถูกหลักวิชาการเลยก็เป็นได้ เป็นเพียงแค่สิ่งที่คนเป็นแม่คนหนึ่งอยากแชร์ประสบการณ์แบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้เจอมากับตัวเอง เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณแม่ท่านอื่นๆบ้าง หากเน้นตามหลักวิชาการนั้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมีมากมายหรือ แม้แต่หนังสือก็หาซื้ออ่านได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปหม่าม๊าก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หม่าม๊ามีใจรักที่จะเขียน ใจรักที่จะนำเสนอ แอบหวังเล็กๆเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ยุทธวิทธีของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละบ้านก้ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการปรับหรือการนำไปใช้จะก่อประโยชน์มากน้อยหรือใช้ได้ผลมากน้อย ย่อมแตกต่างกันไปนะคะ

เตรียมลูกไปโรงเรียนอนุบาล,เตรียมลูกไปโรงเรียน,
หากชื่นชอบ อยากติชม หม่าม๊ายินดีรับฟังทุกประการหรือใครอยากให้หม่าม๊าเขียนเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับครอบครัว เสนอมาได้นะคะ หม่าม๊ายินดีค่ะ เพื่อเป็นแรงใจให้หม่าม๊า ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus หรือ กด Like ที่ Fanpage ของ หม่าม๊าบ้าพลัง ได้ที่ http://www.facebook.com/mamamadmad ขอบคุณทุกแรงใจมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

หม่าม๊าบ้าพลัง

The Art Family ครอบครัวตัว ‘’อาร์ท’’ ป๊าบ๊อบ ม๊าแฟร์ น้องบีบี สามคนพ่อแม่ลูกที่มักหากิจกรรมทำร่วมกันเสมอๆ ป๊าบ๊อบผู้น่ารัก ใจดี(มั้ง)ที่สุดในบ้าน ม๊าแฟร์หญิงผู้ทรงพลัง-เจ้าระเบียบและโหดสุดในบ้าน น้องบีบีเด็กที่พูดได้ทั้งวัน ถามได้ทั้งวัน แบตเตอร์รี่ของเธอเต็มตลอดเวลา(Auto Charge) ความอาร์ทๆของเขาทั้งสามเป็นความอาร์ทที่ลงตัว อาร์ทกิน อาร์ทเที่ยว อาร์ทสรรหากิจกรรมต่างๆเพื่อผูกสัมพันธ์ให้ทุกคนในครอบครัว ความทุ่มเทของผู้เป็นแม่และภรรยาที่พร้อมจะดูแลทุกๆคนในครอบครัวให้มีความสุขLifestyle ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบตามเวลาและความเหมาะสม ในแบบฉบับที่ลงตัว (ภายใต้ความ ‘’อ๊าทส์ ‘’ของเขาทั้งสาม) กับผลงานการสร้างโดย หม่าม๊า บ้าพลัง หม่าม๊า บ้าพลัง https://www.facebook.com/mamamadmad

Follow

Get every new post delivered to your Inbox

Join other followers:

%d bloggers like this: